จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 363

สรุปบท บทที่ 363 ดาบจักรพรรดิ: จอมศาสตราพลิกดารา

สรุปตอน บทที่ 363 ดาบจักรพรรดิ – จากเรื่อง จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet

ตอน บทที่ 363 ดาบจักรพรรดิ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง จอมศาสตราพลิกดารา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าของสวีเซิ่งก็ฉายแววตะลึงสุดขีดทันที

“หรือว่า…จะเป็นเขา?” บนใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดสำนักขุนคีรีที่แม้แขนสองข้างขาดก็ยังคงยิ้มสบายๆ ได้ ตอนนี้กลับเผยความหวาดเกรงอยู่ลึกๆ

หลี่มู่ถามอย่างสงสัย “ใครกัน?”

สวีเซิ่งตอบไป “หวังว่าจะไม่ใช่เขา หากเป็นเขาจริงๆ ละก็ เกรงว่าพวกเราคงไม่เหลือโอกาสแม้แต่เศษเสี้ยวแล้ว”

พวกชิวอิ่นได้ยินดังนั้น ใจก็สั่นสะท้านเช่นกัน

คนที่ทำให้สวีเซิ่งหวาดเกรงได้เช่นนี้ จะเป็นคนอย่างไรกันแน่?

“ดูก่อนค่อยว่ากัน หวังว่าจะไม่ใช่เขา” สวีเซิ่งมองบริเวณที่ห่างออกไปสามร้อยจั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ท้องฟ้ามีเรือเหาะขนาดใหญ่ที่บินมาอย่างเนิบช้า

เรือเหาะแบบนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการต่อสู้ทางอากาศที่มีกำลังรบสูงที่สุดของจักรวรรดิฉินตะวันตกแล้ว และเป็นผลสำเร็จสูงสุดของวิชาหลอมโลหะลายดาราของยุคสมัย มีชื่อว่าเรือวาฬทะยานฟ้า

เรือวาฬทะยานฟ้าขับเคลื่อนด้วยค่ายกลลายดารา วัสดุที่ใช้พิเศษมาก มีทั้งทอง เงิน ไม้ ดิน รูปร่างเหมือนวาฬที่แหวกว่ายไปในท้องฟ้า ลอยอยู่กลางอากาศ ความเร็วไม่นับว่ามากนัก แต่เป็นอาวุธระดับกลยุทธ์ สามารถบรรทุกทหาร หลบหลีกการโจมตีจากหน่วยสอดแนมได้ บนนั้นมีหน้าไม้ยิงหิน ปืนพลังลายดารา ล้วนแต่เป็นฝันร้ายของเมือง ฐานที่มั่น และสำนักภูเขาทั้งสิ้น ภายใต้การโจมตีของหน้าไม้ยิงหิน สิ่งที่นำมาให้มีแต่หายนะเสมอ

ทหารขี่เหยี่ยวของฉินตะวันตกก็กลายเป็นเหมือนฝูงเครื่องบินร่อนของเรือเหาะ อยากล่มเรือเหาะพวกนี้ต้องจัดการกับทหารขี่เหยี่ยวที่แสนจะว่องไวพวกนี้ให้ได้เสียก่อน และทหารขี่เหยี่ยวทุกนายอย่างน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์ระดับยอดปรมาจารย์ มีชุดอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน มีอาวุธต่างๆ นานาทั้งธนูหน้าไม้ ขวานบิน โซ่บิน ตาข่าย ไม่ว่าจะโจมตีเดี่ยวหรือกลุ่มล้วนชวนให้น่าปวดหัวทั้งนั้น

แน่นอน สำหรับยอดยุทธ์ขั้นเหนือมนุษย์สมบูรณ์ เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่ปัญหา

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ เรือเหาะทุกลำของจักรวรรดิฉินตะวันตกมีเทวะหรือครึ่งเทวะคนหนึ่งควบคุมดูแล

นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

จำนวนรวมของเรือวาฬทะยานฟ้าในจักรวรรดิฉินตะวันตกมีแค่ยี่สิบลำเท่านั้น

ครั้งนี้เพื่อที่จะล้างบางสำนักขุนคีรีก็นำออกมาทีเดียวสามลำแล้ว จะเห็นได้ถึงระดับความสำคัญที่มีให้สำนักขุนคีรี

ท่ามกลางเสียงกลองศึกและแตรเขาสัตว์กระหึ่ม ศึกโจมตีสำนักขุนคีรีเปิดฉากที่เหี้ยมโหดกว่าเดิมขึ้นอีกครั้ง

ร่างเงานับไม่ถ้วนทะยานมายังซุ้มประตูสำนักขุนคีรีราวกับมดยุบยับ

กลางท้องฟ้า จอมยุทธ์และจอมเวทที่บินอยู่สำแดงวิชาต่อสู้โจมตีไม่หยุด พลังและเสาแสงวิชาเวทสีต่างๆ หลายพันสายโจมตีไปบนเกราะแสงค่ายกลคุ้มกันภูเขาของสำนักขุนคีรีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดคลื่นลายน้ำเป็นชั้นๆ การสั่นสะเทือนรุนแรงทำให้ยอดเขาหลักทั้งลูกสั่นไหวเบาๆ

นี่เป็นภาพที่ทำให้คนสิ้นหวัง

เรือวาฬทะยานฟ้าสามลำหยุดอยู่กลางฟ้าห่างจากซุ้มประตูสำนักขุนคีรีไปเกือบสองร้อยจั้ง

ร่างเงาหลายร่างปรากฏขึ้นบนเรือธงแกนนำ

“เป็นรัชทายาทของฉินตะวันตก!”

ครั้นชิวอิ่นเห็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีดำ เสื้อคลุมสีเหลืองสดด้านหลังสะบัดตามลมบนเรือลำนั้น ก็จำได้ทันทีว่าเป็นรัชทายาทคนปัจจุบันของฉินตะวันตกนั่นเอง

เชื้อพระวงศ์นำทัพมาเองจริงๆ ด้วย

ในหมู่เชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตก องค์รัชทายาทเป็นสมาชิกที่เป็นรองเพียงจักรพรรดิเท่านั้น

ที่แท้เป็นเขามาด้วยตนเอง มิน่าเล่า บนเรือวาฬทะยานฟ้าถึงได้มีธงวิหคทมิฬเก้าหัว

จักรพรรดิไม่ออกจากปิดด่าน รัชทายาทดูแลงานราชการแทน แบกรับหน้าที่ปกครองดูแลบ้านเมือง ฉินตะวันตกวุ่นวายถึงระดับนี้ มีทั้งศึกนอกและศึกใน ไม่ต่างจากเป็นกลากเกลื้อน เป็นไปทั่วทุกหัวระแหง รัชทายาทที่เดิมควรรักษาการณ์เมืองหลวงกลับนำทัพมาปราบสำนักขุนคีรีด้วยตัวเอง นี่จะไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อยหรือ? อีกทั้งหวงเซิ่งอี้สู้แพ้ตายไปเพิ่งจะเท่าไหร่เอง กองทัพของฉินตะวันตกก็มาถึงแล้ว นับเวลาดู เกรงว่าข่าวการตายของหวงเซิ่งอี้ยังส่งไปไม่ถึง กองทัพของรัชทายาทก็เดินทางมาถึงเรียบร้อย

หลี่มู่ได้ยินชิวอิ่นพูดแบบนี้ จึงมองอีกนานหน่อย

รัชทายาทฉินตะวันตกหน้าตาสง่างามทรงภูมิ รูปร่างสูงมาก บุคลิกไม่ธรรมดา มีกลิ่นอายอย่างผู้ปกครอง ไม่ใช่พวกสำมะเลเทเมาที่ดีแต่เปลือก

แต่หลี่มู่ไม่มีความรู้สึกดีกับคนผู้นี้

เพราะตอนนั้น รัชทายาทฉินตะวันตกเคยส่งฎีกาจะลงโทษหลี่มู่ให้เขาเป็นแพะรับบาป ถึงแม้ภายหลังจะแต่งตั้งหลี่มู่เป็นไท่ไป๋อ๋องเป็นกรณีพิเศษ แต่นั่นก็เพราะพลังของเขาเอง สรุปแล้วรัชทายาทคนนี้เป็นพวกเจ้าแผนการ เป็นนักปกครองที่ได้มาตรฐาน แต่ไม่ใช่คนที่เลือกมาเป็นสหายได้แน่นอน ในสายตามีแต่ผลประโยชน์ ไม่มีไมตรีจิต

แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ฉินตะวันตกวุ่นวายแบบนี้ แม้แต่จักรพรรดิก็ว่ากันว่าตายเพราะปิดด่านแล้วธาตุไฟเข้าแทรก รัชทายาทฉินตะวันตกไม่ใช่ว่าควรจะควบคุมสถานการณ์อยู่เมืองหลวง พยายามต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองหรอกหรือ? รัชทายาทไม่น่าใช่คนโง่ กลับทำข้อผิดพลาดของผู้ช่วงชิงอำนาจ ออกจากศูนย์กลางอำนาจมาปราบสำนักขุนคีรี เขาไม่โง่แน่ๆ แต่ทำไมถึงทำเช่นนี้?

สวีเซิ่งเอ่ย “องค์รัชทายาทไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือคนที่อยู่ด้านซ้ายของเขานั่น”

“เอ๋?” หลี่มู่กระตุ้นพลังเนตรมองไป

เห็นขันทีเฒ่ายืนอยู่ทางซ้ายมือของรัชทายาทฉินตะวันตก ผมเคราขาวโพลน คิ้วยาวจรดหู แก่หง่อม ร่างกายโค้งค่อม รูปร่างผอมหนังหุ้มกระดูก ผิวหนังบนใบหน้าเหมือนเปลือกส้มตากแห้ง ริ้วรอยพาดเต็มไปหมด ตาหรี่ลงเหมือนถูกลมพัดจนลืมไม่ขึ้น ชุดขันทีสีแดงเข้มบนกายเขาเหมือนแขวนไว้บนไม้ไผ่ ทั่วทั้งร่างไม่มีกลิ่นอายปราณแท้ใดๆ

ข้างหลังขันทีเฒ่ามีขันทีน้อยหน้าตาขาวสะอาดดูดีสองคนพยุงเอาไว้

“ไม่เหมือนคนเป็นวรยุทธ์เลย” หลี่มู่พูด “แต่ขันทีน้อยสองคนข้างหลังเขามีพลังฝึกขั้นฟ้าประทาน ไม่ธรรมดาเลย ขันทีเฒ่าคนนี้มีประวัติอย่างไร?”

สวีเซิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าฉายแววหวาดเกรง “เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะ”

“เทวะ?” พวกหลี่มู่ตะลึง

“ข้าจะไปเจอกับเขาเสียหน่อย” หลี่มู่เอ่ย

“อย่านะ” สวีเซิ่งรีบห้าม “คนคนนี้วรยุทธ์ร้ายกาจ เจ้า…”

หลี่มู่หัวเราะบอก “ไม่เป็นไร ข้ามั่นใจ ต่อให้สู้ไม่ได้ก็กลับมาได้อย่างปลอดภัย”

พูดจบร่างของหลี่มู่กะพริบวูบแปลงเป็นแสงดาบ พุ่งออกไปจากบริเวณที่ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ปกคลุมอยู่แล้ว

“เฮ้อ ใจร้อนเกินไปแล้ว…” สวีเซิ่งร้อนรน

ชิวอิ่นกุม ‘ดาบเทพแปลงโลหิต’ แล้วเอ่ย “เตรียมรับมือ หลี่มู่จะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด…”

……

บนเรือวาฬทะยานฟ้า

“สำนักขุนคีรีโง่เขลาเสียจริงๆ กล้ารับชิวอิ่นเอาไว้อย่างนั้นรึ หึๆ กองกำลังรักษาวังแห่งฉินตะวันตกของข้าคิดจะกำจัดพวกกากเดนราชวงศ์ต้าเยวี่ยอยู่แล้ว ครั้งนี้เป็นพวกมันรนหาที่ตายเอง” เหยียนหรูอวิ๋นผู้บังคับบัญชากองกำลังเหยี่ยวถลาลมเอ่ยปากพร้อมหัวเราะหยัน เขาเป็นชายหน้าตางดงามอายุสามสี่สิบกว่า เกราะเงินเงาวับ องอาจสง่างาม

เขาเป็นสหายเรียนหนังสือของรัชทายาท ชาติกำเนิดสูงส่ง เป็นศิษย์ที่มาจากทุ่งปิดภูผาเช่นกัน พลังฝึกอยู่ขั้นเหนือมนุษย์ สังกัดกองกำลังเหยี่ยวถลาลมในกองทหารรักษาวัง หยิ่งยโสเป็นอย่างมาก

ขันทีใหญ่อิ้งซานเสวี่ยอิงใบหน้าไร้อารมณ์ ตัวสั่นโงนเงน เหมือนจะหายใจไม่ออกขาดใจตายได้ทุกเวลา

รัชทายาทถอนหายใจ ส่ายหน้ากล่าว “หรูอวิ๋นเอ๋ย อย่าได้ประมาทไป เสด็จพ่อเคยบอกไว้ว่าในสำนักขุนคีรีซ่อนสิ่งมหัศจรรย์เอาไว้ มิฉะนั้นคงไม่ส่งทหารชั้นยอดเจ็ดกองกำลัง แล้วให้อิ้งซานกงกงกับพวกเรามาหรอก” นำทัพออกศึก ในที่สุดก็ได้กุมอำนาจทหาร แต่จิตใจของเขากลับไม่ยินดีสักเท่าไหร่ เพราะเสด็จพ่อที่ว่ากันว่าธาตุไฟเข้าแทรกไปเฝ้าเง็กเซียนออกจากการปิดด่านมาแล้วเมื่อสิบกว่าวันก่อน พลังยุทธ์มากกว่าในอดีต ทะลวงข้อติดขัดพันธนาการ อายุขัยยืนยาวขึ้นอีกห้าร้อยปี

ในระยะเวลาห้าร้อยปีนี้ เขาไร้ซึ่งวาสนาต่อตำแหน่งจักรพรรดิของฉินตะวันตกแล้วโดยสมบูรณ์

ขณะที่กำลังพูด ก็เห็นในค่ายกลคุ้มกันภูเขาของสำนักขุนคีรีมีแสงดาบพร่างพรายกะพริบ มีคนออกมาแล้ว

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

แสงดาบบินไร้สีส่องสว่างทั่วผืนฟ้าราวดาวตก ท้องฟ้าถูกปราณดาบนี้เฉือนเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที แสงสีเลือดสาดไปทั่ว ภายใต้การกระตุ้นจากวิชาดาบเหินหาว ดาบบินยี่สิบสี่เล่มบีบผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือที่ล้อมอยู่รอบ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ จนถอยร่นล้มตาย การบุกโจมตีของทัพฉินตะวันตกชะลอลง

“หลี่มู่อยู่ที่นี่แล้ว อิ้งซานเสวี่ยอิง ออกมาสู้กับข้าเดี๋ยวนี้”

เด็กหนุ่มผมสั้นยืนอยู่บนดาบกลางอากาศ เอ่ยปากท้าสู้

……………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา