จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 366

การล้อมโจมตีของทหารรักษาวังฉินตะวันตกและยอดฝีมือจากหลายสำนักราวกับลมฝนที่บ้าคลั่ง ต่อเนื่องกันไม่หยุดหย่อน

พื้นที่รอบนอก ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ คือค่ายกลลวงตากับค่ายกลสังหาร เพียงแค่เข้าไป แม้แต่กระดูกศพก็ไม่เหลือ ทว่ายังไม่สามารถต้านการบุกฝ่าทำลายของยอดฝีมือจำนวนมากเพียงนี้ได้ ค่ายกลสังหารสิบแปดชั้นถูกบุกทำลายทีละชั้น เป็นการเอาชีวิตคนฝ่าเข้ามาทั้งสิ้น องค์รัชทายาทที่สูงส่งไม่ไยดีความเป็นตายของคนจากสำนักเหล่านี้อยู่แล้ว ภายใต้การผลักไสของทหารรักษาวัง เหล่าศิษย์สำนักใหญ่ทำได้เพียงรับคำสั่ง ถูกขับให้ไปบุกตะลุยค่ายกลเสมือนสัตว์เดรัจฉาน จนกระทั่งค่ายกลเปิดออกด้วยเลือดเนื้อและกระดูก…

ส่วน ‘จักรพรรดิดาบ’ หลังจากที่ไม่อาจตี ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ด้วยกระบวนท่าสุดยอดจนแตกได้ เขานั่งอยู่ที่ส่วนหัวเรือของเรือวาฬทะยานฟ้า หลับตาฟื้นสภาพจิตใจ กลับไปเป็นชายชราที่เหมือนลมแค่วูบเดียวก็พัดร่างสลายได้อีกครั้ง

เสียงเข่นฆ่าสังหารสนั่นฟ้า

สถานการณ์กลับมาล่อแหลมอีกครั้งสำหรับฝั่งสำนักขุนคีรี

“จำเป็นต้องบูรณะค่ายกล” ด้านหน้าตำหนักใหญ่ หลี่มู่เอ่ยขึ้น “ข้ามองว่า ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ นี้ยอดเยี่ยมมาก ถึงแม้จะมีจุดที่เสียหายหลายจุด แต่สาเหตุที่ทำให้มันแสดงพลานุภาพที่แท้จริงไม่ได้ ก็คือแกนดาราศูนย์กลางซึ่งอยู่ในสภาพทื่อๆ ขัดๆ ทำงานไม่ราบรื่น ทำให้พลังฟ้าดินเบาบาง หากเจ้าสำนักสวีไม่ขัดข้อง ช่วยพาข้าไปที่ใจกลางค่ายกลที ขอแค่ข้าซ่อมแซมศูนย์กลางค่ายกลนี้สำเร็จ สำนักขุนคีรีจะยืนอยู่ในจุดที่ไม่มีทางแพ้ ต่อให้ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงมาอีกกี่คนก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ได้”

เหตุที่เขาพูดเช่นนี้ เพราะการส่งพลังให้ค่ายกลคุ้มกันภูเขาประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ลับของสำนัก ปกติไม่ให้คนนอกเข้าไปแตะต้องหรือแก้ไข

เพราะการกระทำเช่นนี้เท่ากับมอบชีวิตของสำนักให้กับผู้อื่น

“แน่นอนว่าไม่ขัดข้อง ถ้าหากท่านอ๋องหลี่แก้ไขได้ จะเป็นพระคุณใหญ่หลวงต่อสำนักขุนคีรีของข้า” เจ้าสำนักสวีรีบตอบกลับ

นับร้อยนับพันปีมานี้ สำนักขุนคีรีคิดจะบูรณะ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ แต่ไม่มีคนที่มีความสามารถด้านนี้ ตอนนี้หลี่มู่แสดงความสามารถซ่อมแซมค่ายกลให้เห็นแล้ว พวกเขาย่อมต้องการแน่นอน นับประสาอะไรกับที่การซ่อมค่ายกลในเวลานี้เท่ากับการช่วยชีวิต ดังนั้นจึงไม่ต้องสนใจอะไรมากแล้ว

จากการมอบหมาย พวกชิวอิ่นและสวีเซิ่งคอยดูแลที่ประตูตำหนักใหญ่ของสำนัก บัญชาการและรับมือกับศัตรูต่อไป

เจ้าสำนักสวีเยวี่ยพาหลี่มู่ตรงไปยังแกนดาราศูนย์กลางของ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ด้วยตนเอง

‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ กับ ’ค่ายกลดาราพิฆาต’ ที่หลี่มู่เคยวางไว้ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ยอดเยี่ยมเหมือนกัน ล้วนเป็นค่ายกลที่จัดวางสอดคล้องกับระบบดวงดาวบนฟ้าและความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพียงแต่ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ เลือกใช้วิธีครบถ้วนทุกอย่าง จึงแตกต่างออกไป แต่ว่ากันว่าหมื่นวิถีอยู่บนรากฐานสามัญ ขอแค่เป็นค่ายกลก็จะต้องมีตาค่ายกลอยู่แน่นอน และตาค่ายกลของ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ก็คือตำแหน่งดาราหลักดวงนั้นและแกนกลาง

ด้านในแกนกลางนี้คือใจกลางภูเขาของยอดเขาหลักสำนักขุนคีรี

ส่วนลึกของตำหนักใหญ่มีหลุมดำไร้ก้นหลุมหนึ่งปรากฏอย่างเลือนราง

สวีเยวี่ยพาหลี่มู่บินเข้าไปด้านในปากหลุมนี้

ลึกลงมาราวสองลี้ ถ้ำภูเขาหายไป เปลี่ยนเป็นพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ตรงใจกลางภูเขา

ปลายนิ้วหลี่มู่มีแสงไฟลูกหนึ่งสว่างวาบ ทำให้พื้นที่กลางภูเขาทั้งหมดปรากฏชัดเจน บนพื้นมีวัตถุคล้ายแท่นบูชาหินแกะสลักสีดำ

ทั้งสองคนลอยลงมาบนแท่นบูชา

“ที่นี่คือแกนกลางของ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ปีนั้นบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักขุนคีรีของข้าเคยทิ้งคำพูดไว้ แท่นบูชาศิลาเก้าชั้นนี้คือกุญแจหลักในการควบคุมค่ายกล น่าเสียดายที่แปดร้อยปีก่อน ผู้อาวุโสคนสุดท้ายที่เข้าใจการควบคุมค่ายกลถูกธาตุไฟเข้าแทรกและตายจากไป ไม่ได้ถ่ายทอดวิธีควบคุมแท่นบูชานี้ไว้ ต่อมานับร้อยพันปี แท่นบูชานี้จึงทำงานด้วยตัวของมันเอง คงสภาพค่ายกลคุ้มกันภูเขาเอาไว้…” สวีเยวี่ยพูดขึ้นมา ทอดถอนใจไม่หยุด

หลี่มู่พยักหน้า ก่อนตรวจสอบอย่างละเอียด

แท่นบูชาศิลาดำใต้เท้าแบ่งออกเป็นเก้าชั้น ชั้นที่หนึ่งเป็นทรงกลม ชั้นที่สองทรงเหลี่ยม สลับกันขึ้นมา ชั้นสูงที่สุดก็เป็นทรงกลมเช่นกัน สอดคล้องกับฟ้ากลมดินเหลี่ยม[1]ที่ประเทศจีนสมัยโบราณเคยว่าไว้ มีเนื้อหามากมาย หลี่มู่เห็นว่า ด้านบนของทุกชั้นที่เป็นทรงกลมแกะสลักดวงดาวหลักเอาไว้ แต่ไม่ใช่การกระจายตัวของหมู่ดาวบนโลกมนุษย์ ทว่าเป็นตำแหน่งหมู่ดาวของโลกนี้ ส่วนบนแท่นบูชาทุกชั้นที่เป็นสี่เหลี่ยมมีรูปภาพภูเขาแม่น้ำ เป็นตัวแทนแผ่นดินใหญ่เสินโจว

แต่แท่นบูชานี้เป็นแค่ศูนย์กลางเท่านั้น

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป บนผนังหินสี่ด้านของพื้นที่ว่างกลางภูเขาสลักเสลากลุ่มดวงดาวแน่นขนัดไปหมด พลังลี้ลับไหลเวียนอยู่ระหว่างกลุ่มดาราเหล่านี้ เดี๋ยวเลือนเดี๋ยวชัด เป็นกลุ่มเป็นสาย ดูเหมือนแสงระยิบระยับและเหมือนแสงสว่างของดวงดาว ทำให้คนที่พบเห็นพลันรู้สึกเหมือนอยู่กลางอวกาศ กำลังเงยหน้ามองทางช้างเผือก ฉับพลันนั้นรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ไพศาลของทางช้างเผือกระยิบระยับที่ธรรมชาติสรรสร้าง และรู้สึกได้ถึงความต่ำต้อยของตนเองที่เล็กจ้อยเหมือนฝุ่นธุลี

“นี่…ไม่ใช่ค่ายกลดาราของโลกนี้”

ใบหน้าหลี่มู่มีอาการไม่ผิดจากที่คาดไว้

ก่อนนี้ตอนที่เขาซ่อมแซม ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ชั่วคราวก็ระแคะระคายมาบ้างแล้ว

ตอนนี้หลี่มู่ยืนยันได้เต็มร้อย นี่คือค่ายกลวิชาเต๋าของดาราสมุทร ระดับอารยธรรมวิถียุทธ์เหนือกว่าของแผ่นดินใหญ่เสินโจวไปไกล

ภาพนี้ช่างทำให้รู้สึกตื่นตะลึงเสียนี่กระไร

“คนที่วางค่ายกลนี้เมื่อปีนั้น…เป็นระดับเทพจริงๆ”

หลี่มู่เอ่ยอย่างทอดถอนใจ

ที่เขาลึกซึ้งด้านค่ายกลวิชาเต๋า ครึ่งหนึ่งคือความรู้ทฤษฎีที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้เหมือนกรอกลงปากขณะที่อยู่บนโลกมนุษย์ อีกครึ่งคือการทดลองมั่วซั่วของเขาบนโลกนี้ ยามอยู่ในโลกนี้อาจดูเก่งกาจมาก แต่ในทางช้างเผือกดาราสมุทรคงอยู่แค่ในระดับกลางๆ เท่านั้น ตอนนี้เมื่อได้เห็นค่ายกลตรงหน้า ก็รู้ทันทีว่าค่ายกลนี้ถูกวางโดยคนระดับเทพ การที่ตกเป็นของสำนักขุนคีรีจึงเหมือนไข่มุกที่ถูกฝุ่นคลุมไว้โดยแท้ หากทำให้ค่ายกลแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ ต่อให้มีเก้ายอดใต้หล้ามาเยือนก็ยังยากที่จะทำลาย

“ท่านอ๋องหลี่ เป็นอย่างไรบ้าง? สามารถบูรณะได้หรือไม่?” สวีเยวี่ยถามขึ้นอย่างตึงเครียด

หลี่มู่พยักหน้า ตอบว่า “ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ภายในสามวันจะซ่อมแซมได้”

สวีเยวี่ยเอ่ยตอบ “เยี่ยมไปเลย ท่านอ๋องหลี่ต้องการอะไรโปรดบอกมา ข้าจะให้คนไปเตรียมให้ทันที”

หลี่มู่เอ่ยถึงของบางส่วน รวมถึงสิ่งของที่ทำจากหยกเป็นหลัก จากนั้นกล่าวว่า “เท่านี้ก็พอแล้ว…เจ้าสำนักเปลี่ยนคำเรียกข้าใหม่เถิด ข้าสังหารองค์ชายไป ซ้ำยังหันดาบใส่องค์รัชทายาทอีก ตำแหน่งอ๋องแห่งฉินตะวันตกนี้ดูท่าจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา