ถึงอย่างไรสิ่งที่หลี่มู่ฝึกฝนมาคือวิชาเทพเซียนอย่าง ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ต่อมาเป็นวิชาเต๋าของพระอาจารย์โพธิอย่าง ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ เทียบกับทักษะการต่อสู้บนโลกนี้แล้วไม่รู้ว่าสูงกว่ากี่เท่าตัว ไม่อาจใช้กำลังรบตามขั้นพลังยุทธ์ของโลกนี้มาพิจารณาได้ นี่ก็เป็นไพ่ลับที่หลี่มู่มีเช่นกัน
แต่ว่า การฝืนชะตาต่อกรเทวะก็มีข้อจำกัด
กำลังรบที่แท้จริงของหลี่มู่ตอนนี้เทียบเท่าได้กับผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะระดับแรกเริ่ม
เมื่อพบกับ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงที่เป็นเทพสังหารขั้นเทวะ โดยพื้นฐานนึกออกเพียงแค่สองคำเท่านั้น…GG[1]
“เท่านี้ก่อนแล้วกัน ถอย”
หลี่มู่ขยับความคิด ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งถอยเพื่อเว้นระยะห่าง
“ฮึๆ” อิ้งซานเสวี่ยอิงแค่นหัวเราะเหยียดหยาม
ร่างของเขาหายไปจากหัวเรือของเรือวาฬทะยานฟ้าทันควัน ในเวลาเดียวกันก็ข้ามไปไกลถึงสามสิบจั้ง ราวกับเคลื่อนย้ายในพริบตา ไปปรากฏอยู่ด้านหลังลี่มู่อย่างไม่น่าเชื่อ ฝ่ามือดุจกรงเล็บคนตายตรงไปที่หัวไหล่ของหลี่มู่
ความเร็วเช่นนี้ช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้
หลี่มู่เสียวสันหลังวาบ
พริบตานี้ เขารู้สึกเหมือนมีเทือกเขายาวไร้ที่สิ้นสุดกดทับลงมา ทำให้ปราณแท้จักรพรรดิเพลิงแดนใต้ในร่างเริ่มหยุดนิ่ง ไม่สามารถหมุนโคจรได้อย่างราบรื่น เวลาเดียวกันร่างกายก็คล้ายตกลงไปอยู่ในบึง ความเร็วถูกลดลงอย่างฉับพลัน ชั่วขณะนั้นหัวไหล่ของเขารู้สึกได้ถึงความเย็นเยือกยามที่นิ้วทั้งห้าของอิ้งซานเสวี่ยอิงกดลงมา
“เหอะๆ สิ่งที่เรียกกันว่าพรสวรรค์…”
ดวงตาขาวซีดของอิ้งซานเสวี่ยอิงสงบนิ่ง ฝ่ามือออกแรง หมายจะบดขยี้หลี่มู่ให้เป็นผุยผง
ทว่าในชั่วเวลานั้นเอง ขณะที่หลี่มู่เหมือนจะทนรับพลังที่กดลงมาไม่ไหว ไหล่เขาก็ลดต่ำลงเล็กน้อย ทำท่าทางลักษณะเดียวกับการตีลังกาที่ประหลาดยิ่งออกมา
อิ้งซานเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพร่าเลือน ฝ่ามือฟาดเงาเสมือนจริงจนแหลกละเอียด ส่วนหลี่มู่ตัวจริงกลับหายไปอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
อิ้งซานเสวี่ยอิงตกตะลึง
เขาไม่ทันรู้สึกตัวเลย
กรงเล็บนี้ เขามั่นใจว่าคว้าอยู่แน่นอน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับหนีไปได้อย่างน่าประหลาดเช่นนี้?
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง หลี่มู่ก็กลับเข้าไปอยู่ด้านใน ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ เรียบร้อยแล้ว จากนั้นยกมือขึ้นกวัก แสงเทพห้าสีที่กระจายเต็มฟ้าประหนึ่งกระสวยลำแสง ดาบบินยี่สิบสี่เล่มพุ่งด้วยความเร็วเหนือเสียงกลับไปอยู่ในมือของเขา และรวมร่างกลับเป็นดาบวัฏจักรอีกครั้ง
“น้องสาม ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“เจ้าหนุ่มหลี่…”
“ท่านอ๋อง”
คนกลุ่มหนึ่งล้อมวงเข้ามา รู้สึกกังวลแทนหลี่มู่กันทั้งสิ้น
ในพริบตาเมื่อครู่นี้ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงใช้การสะกดพลังฟ้าดินแล้ว เกือบจะจัดการหลี่มู่ลงได้ เห็นพวกชิวอิ่นและสวี่เซิ่งตระหนกตกใจกันจริงๆ แต่ใครจะรู้ว่าถึงตอนสุดท้าย หลี่มู่จะออกท่าตีลังกาเหมือนวานรที่แปลกประหลาดจนเกิดผลลัพธ์น่าอัศจรรย์ ออกจากการสะกดพลังฟ้าดินกลับมาด้านในค่ายกลได้ทันที
ขั้นตอนทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วยิ่ง แทบจะไม่มีใครรู้สึกตัวเลย
หลี่มู่ถอนหายใจยาว เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นอะไร”
มีเพียงเขาที่รู้ เมื่อครู่อันตรายเพียงไหน
ชั่วเวลาสุดท้าย พลังสังหารของ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงแทรกเข้ามาในร่างเขาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะใช้วิชา ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ หนีออกมาได้ และช้าไปอีกเพียงศูนย์จุดศูนย์ศูนย์หนึ่งวินาทีละก็ ตอนนี้ตนคงกลายเป็นเศษเนื้อไปแล้ว…เทพสังหารของจักรวรรดิฉินตะวันตกคนนี้ พลังน่ากลัวถึงขีดสุดจริงๆ ห่างชั้นกับคู่ต่อสู้ทุกคนที่เขาเคยพบมา
หลงระเริงไปแล้ว
หลี่มู่ย้อนทบทวนตัวเอง
ตอนนี้เอง ภายในร่างของหลี่มู่ พลังจักรพรรดิเพลิงแดนใต้สับสนวุ่นวาย พลังสังหารนองเลือดที่พิสดารในเส้นลมปราณกำลังทำลายเส้นลมปราณของเขาอย่างกำเริบเสิบสาน หากไม่ใช่เพราะกายเนื้อแข็งแกร่ง ฝืนต้านเอาไว้ เกรงว่าคงเจ็บหนักจนสลบไปแล้ว
“หึๆ หนีไวเสียจริง”
อิ้งซานเสวี่ยอิงพบเจอผู้คนมามากมาย แม้จะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้วุ่นวายใจกับการหนีไปของหลี่มู่
เขามองลงมายังสำนักขุนคีรี ในดวงตาขาวซีดที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดมีความบ้าคลั่งค่อยๆ หมุนวนออกมา
พลังฟ้าดินที่น่าสะพรึงกลัวราวกับคลื่นซัดสาด พุ่งเข้ามารวมบนร่างเขา
สองมือเขารองไว้ที่หน้าอก ลวดลายค่ายกลดาราสีเลือดมีสัญลักษณ์แน่นขนัดเป็นชั้นๆ ขยับวูบวาบ ขยายและส่องประกายเป็นคลื่นระหว่างมือทั้งสอง พลานุภาพกดดันของกระบวนท่าชั้นสูงปกคลุมรัศมีหลายลี้ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าเขารวบรวมพลังฟ้าดินไว้มากเท่าไร จิตเทวะปั่นป่วน เสมือนอ่างเก็บน้ำกำลังสะสมน้ำหลากท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนอง เหมือนวันสุดท้ายก่อนเกิดการปะทุของไฟใต้พิภพที่เดือดพล่านรุนแรง…
“แย่ล่ะ เขาจะใช้พลังทำลายค่ายกลตรงๆ แล้ว”
สวีเซิ่งตั้งสติกลับมา สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป
‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ของสำนักขุนคีรีลี้ลับมหัศจรรย์มาก มีชื่อเสียงในแผ่นดินใหญ่เสินโจว ต่อให้เทียบกับค่ายกลปกป้องดินแดนของจักรวรรดิใหญ่อื่นๆ ก็ไม่ด้อยกว่า ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นเพียงค่ายกลของสำนัก ไม่ใช่ค่ายกลของจักรวรรดิ แรกสุดคือการสั่งสมพลังงานสู้ไม่ได้ ถัดมาคือค่ายกลนี้ปรัชญาเมธีเมื่อครั้งนั้นเป็นผู้วางไว้ นับแต่นั้นก็ผ่านมาถึงพันปีแล้ว ในหมู่ชนรุ่นหลังสำนักขุนคีรี คนที่เชี่ยวชาญด้านค่ายกลค่อยๆ ลดหาย ส่งผลให้ ‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ขาดการปรับปรุงซ่อมแซมที่จำเป็น ภายใต้การกัดกร่อนของกาลเวลา เกิดความเสียหายรอยปริแตกมากมาย ไหนจะผ่านการโจมตีลดพลังอย่างต่อเนื่องจากหวงเซิ่งอี้ก่อนหน้านี้อีก กล่าวได้ว่าพลังค่ายกลมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว
‘ค่ายกลแสงดารามหาจักรวาล’ ในสภาพเช่นนี้ จะสามารถต้านทานการโจมตีของ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงได้หรือไม่?
ใครก็รับประกันไม่ได้
และถ้าค่ายกลถูกทำลายลง คนของสำนักขุนคีรีทั้งหมดคงจะถูกสังหารเรียบในพริบตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา