ตอนแรกที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่เขาเมืองมรกต คนที่ปกป้องเต้าเจินอันที่จริงแล้วมีไม่น้อยเลย
อย่างไรเสียเต้าฉงหยาง อาจารย์ของเต้าเจินก็ได้รับการขนานนามว่าปรมาจารย์นักพรตแห่งใต้หล้า มีคนจำนวนไม่น้อยที่ปกป้องและเคารพเขาจริงๆ แต่เต้าเจินไม่เอาไหนเอง จนถึงวันนี้ คนพวกนี้ที่ตายไปก็ตาย ที่สลายตัวก็แตกกระสานซ่านเซ็น สุดท้ายคนที่ยังคงอยู่ข้างกายเต้าเจินก็เป็นคนที่เคารพบูชาเต้าฉงหยางอย่างจริงใจหรือไม่ก็ผู้ภักดีของเขาเมืองมรกต เหลืออีกประมาณแล้วไม่ถึงสิบคน พลังล้วนไม่ธรรมดา ตัดสินใจตาย สู้เคียงข้างไปด้วยกันกับเต้าเจิน
เต้าเจินเป็นหนึ่งในคนที่พลังสูงที่สุดในกลุ่มคนพวกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนแรกเขาถูกโจมตี ได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้พลังรบเหลือไม่เท่าไหร่
เหล่าสหายฝ่าโจมตีสังหารหลายต่อหลายครั้งเพื่อปกป้องเต้าเจิน พยายามลองทะลวงวงล้อมออกไป แต่ก็ไม่สำเร็จ ทั้งยังมีคนได้รับบาดเจ็บหนัก สุดท้ายถูกบีบให้กลับไปยังหน้าประตูโรงเตี๊ยม
เต้าเจินตอนนี้ทั้งรู้สึกผิดทั้งโกรธแค้น
ทุกคนติดตามเขา แต่เขากลับโง่เขลา ใจปรารถนาแต่จะถอย กลับทำร้ายคนที่คอยติดตามข้างกายอย่างภักดีเหล่านี้
“อ๊าก…” เสี่ยวเอ้อส่งเสียงร้องน่าเวทนา เขามีพลังฝึกตนฟ้าประทานบริบูรณ์ แต่ภายใต้การไล่สังหารจากพวกเต้าฉง ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ถูกกระบี่แทงทะลุท้องบาดเจ็บสาหัสในทันที สูญเสียกำลังรบ
คนอื่นๆ ก็ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ไร้ซึ่งพลังรบเช่นกัน
เต้าฉงหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ วันนี้เป็นวันสร้างความดีความชอบ…ฆ่ามันให้หมด ไม่ต้องเหลือแม้แต่คนเดียว”
นักพรตข้างหลังเขาไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ต่างตาแดงแย่งกันสร้างความดีความชอบ คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเต้าเจินตอนนี้ล้วนเป็นเสี้ยนหนามขวางหูขวางตาเจ้าสำนักเต้าหลิง หัวหนึ่งหัวส่งไปถึงมือก็เป็นคุณงามความชอบครั้งใหญ่ นี่เป็นโอกาสสุดท้าย
ทว่า ในตอนที่พวกเขาพุ่งไปเตรียมจะกวาดล้างพวกเต้าเจินให้เรียบร้อยในทีเดียว ก็มีเสียงไม่คุ้นหูดังลอยออกมาจากโรงเตี๊ยม…
“นี่ หยุดสู้ได้แล้ว หยุดมือ…แล้วฟังข้าตัดสินความ”
เด็กหนุ่มหน้าตาโดดเด่น ผมสั้นองอาจ คิ้วเข้มตาโต ตบมือเดินออกมาจากโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมมายืนอยู่หน้าประตู ท่าทางอย่าง ‘ทุกคนมีเรื่องอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน’
มันเป็นใครกัน?
ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในหัวของพวกเต้าฉงทันที
จากนั้นประโยคที่สองที่ผุดขึ้นมาก็คือ “เป็นใครก็ช่างหัวมัน ฆ่าไปพร้อมกันเสียก็หมดเรื่อง”
ทว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เสียงตบมือที่ดูเหมือนตบไปอย่างนั้นจากเด็กหนุ่มผมสั้นเหมือนมีพลังน่าอัศจรรย์อะไรบางอย่าง มันเป็นปกติแต่เมื่อดังในหูแล้วก็เหมือนกับเสียงอันทรงอำนาจ ทำให้ในใจของพวกเขาเกิดความรู้สึกงงงันอย่างน่าประหลาด จากนั้นหัวใจก็เต้นตามจังหวะเสียงตบมือ ทั้งแปลกประหลาดทั้งทรมาน ปราณแท้ในกายหยุดชะงัก โคจรได้ไม่ราบรื่น
พวกเต้าฉงหยุดโดยไม่รู้ตัว
สายตาแปลกประหลาดแต่ละคู่มองมายังเด็กหนุ่มผมสั้น
เด็กหนุ่มคนนี้แน่นอนว่าคือหลี่มู่
“ฮ่าๆ นี่สิถึงจะถูก ว่าก็ว่าเถอะ พวกเจ้าจะสู้กันก็สู้กันสิ แต่จะให้มันถูกกาลเทศะหน่อยได้ไหม เลือกที่ที่เหมาะสมสิ ในโรงเตี๊ยมยังมีคนนั่งกินข้าวอยู่นะ รบกวนคนที่… ” หลี่มู่แค่อ้าปากก็พูดมั่วซั่ว
“เจ้าเป็นใคร? กล้าสอดเรื่องของเขาเมืองมรกต เจ้า…” นักพรตวัยกลางคนเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งข้างกายเต้าฉง หน้าตาเหี้ยมโหด อ้าปากก่นด่าทันที
แต่ว่ายังพูดไม่ทันจบ…
ฟิ้ว!
แสงดาบทางหนึ่งพุ่งมา
หัวของนักพรตหน้าตาเหี้ยมโหดขั้นหนึ่งคนนี้ก็กระเด็นลอยสูง
หลี่มู่เอ่ย “เวลาข้าพูดจาด้วยเหตุผลรำคาญคนสอดปากเป็นที่สุด”
พวกเต้าฉงสูดลมหายใจเย็น พวกเขาถอยหลังไปไม่รู้ตัวท่ามกลางเสียงตื่นตกใจ รู้สึกคอเย็นวาบ
แสงดาบเมื่อครู่นั่นพุ่งมาจากปลายนิ้วของเด็กหนุ่มนี่ชัดๆ แค่กะพริบก็แหวกอากาศมา ราวกับแสงอ่อนๆ ที่ฉายมาจากแสงอรุณยามเช้า เพียงฉายประกายก็มาถึง ไม่อาจสัมผัสได้ กระทั่งว่าแม้แต่คลื่นพลังปราณก็ยังรางเลือน แต่ภายใต้แสงดาบกลุ่มนี้ หัวของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งก็ขาดกระเด็น
เหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งเชียวนะ ไม่ใช่หมาแมวที่ไหน ยิ่งไม่ใช่ผักกาดขาวข้างถนน บอกว่าฆ่าก็ฆ่า พลังฝึกตนเหนือมนุษย์อยู่ในโลกวิถียุทธ์แผ่นดินใหญ่แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกฝนขั้นสุดยอดแล้ว
สุดท้ายกลับถูกฆ่าเหมือนหมู
นี่มันคือพลังอะไรกัน?
บรรยากาศที่นั่นเปลี่ยนไปทันที
“ท่านเป็นใคร?” เต้าฉงเอ่ยอย่างปากกล้าขาสั่นพลางจ้องหลี่มู่
หลี่มู่คิดๆ แล้วก็ตอบ “อามิตตาพุทธ…เอ๊ย ขอจงมีแต่ความสุขความเจริญ ข้าจางซานเฟิง แห่งสำนักบู๊ตึ๊ง เขาบู๊ตึ๊ง ”
พวกเต้าฉงรู้สึกงงไปในทันที
ฟังคำพูดคำจาของเด็กหนุ่มนี่เหมือนจะเป็นนักพรต?
แต่สำนักบู๊ตึ้งเขาบู๊ตึ๊งอยู่ที่ใดกัน ไยจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
ส่วนจ้าวจี้ หยวนโห่ว ชิงเฟิงก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าท่าทางหลี่มู่ไม่คิดจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน…แต่ว่า นี่ก็ถูกแล้ว ไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่ห้าคำนี้หากพูดออกไปจะต้องสะเทือนไปทั้งใต้หล้าแน่นอน แต่ก็ดึงความสนใจจากฝั่งอื่นๆ ได้ง่ายเช่นกัน เรื่องยุ่งยากต่างๆ ก็จะตามมา อีกทั้งครั้งนี้ไปเขาหัวโคก็เพื่อช่วยคน ไม่จำเป็นต้องทำให้ครึกโครม ปลอมตัวก็เป็นเรื่องปกติ
มีเพียงเจ้าไซบี้ที่หน้าตาดูถูก เอียงหัวพูด “หน้าไม่อาย”
มันรู้ว่าจางซานเฟิงเป็นนักพรตที่มีชื่อมากบนโลก
เต้าฉงมองหลี่มู่อย่างสงสัย รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ที่มาที่ไปแปลกประหลาด ไม่เหมือนนักพรต แต่ก็ยังตอบกลับไป “ที่แท้เป็นสหายนักพรตจางซานเฟิงแห่งเขาบู๊ตึ๊งนี่เอง ในเมื่อต่างเป็นลัทธิเต๋าเช่นเดียวกัน เช่นนั้น สหายนักพรตจางก็คงจะรู้เรื่องเขาเมืองมรกตของข้า และก็คงจะเคยได้ยินว่าเต้าเจินคือผู้ทรยศลัทธิเต๋า พวกเราไล่จับผู้ทรยศ ไยท่านจึงสอดมือทั้งยังสังหารคนของเขาเมืองมรกต?”
หลี่มู่ตอบ “ขอจงมีแต่ความสุขความเจริญ เมื่อครู่ข้ากำลังพูดจาด้วยเหตุผล เขากลับสอดปาก ข้าจึงต้องทำให้เขาเงียบปากเสีย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา