จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 385

สรุปบท บทที่ 385 จิตดาบ: จอมศาสตราพลิกดารา

สรุปเนื้อหา บทที่ 385 จิตดาบ – จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet

บท บทที่ 385 จิตดาบ ของ จอมศาสตราพลิกดารา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

หลี่มู่ได้ยินก็หัวเราะทันที

ไม่นึกว่าจะมองออกด้วยว่าตนเองใช้ชื่อปลอม?

เต้าเจินผู้นี้แท้จริงเป็นพวกคมในฝัก ความคิดเฉลียวฉลาดกว่าคนทั่วไปมาก

หนึ่งปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นข้อบกพร่องของนิสัยเขาชัดเจนขึ้น ตกสู่วังวนอุปสรรค ยึดติดมากจนเกินไป ทำให้เดินผิดพลาด มิเช่นนั้นคงไม่มีสภาพเช่นวันนี้ หากพูดจากด้านนี้ เต้าฉงหยางที่ได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์เต๋าแห่งใต้หล้าในตอนแรกเลือกเต้าเจินมาเป็นผู้สืบทอด ก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าเป็นเรื่องผิดพลาด

ตอนนี้หลี่มู่พลันรู้สึกว่าหากภายหลังเต้าเจินสามารถควบคุมเขาเมืองมรกตได้จริง เช่นนั้นสำนักเต๋าแห่งนี้อยู่ในมือของหยกที่ผ่านการเจียระไนมาอย่างยากลำบากอย่างเขา อาจจะกลายเป็นว่าศิษย์เหนือกว่าอาจารย์ก็เป็นได้

“ต่อไปเรายังมีโอกาสพบกันอีก หากตอนนั้นเจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจะบอกที่มาที่แท้จริงของข้ากับเจ้า” หลี่มู่หัวเราะร่า

ใต้เท้าเขาปรากฏละอองเมฆ พลังขุมหนึ่งทะลักออกมา พาจ้าวจี้กับเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงสองคนบินขึ้นท้องฟ้าเหมือนกับขี่เมฆ กลับไปรวมกลุ่มกับหยวนโห่วและเจ้าฮัสกี้ที่ด้านนอกหุบผามรกต ก่อนจะหายไปบนฟ้าไกล ประดุจเทพเซียนจากนอกโลก สง่างามและวางท่าเป็นที่สุด

“นักพรตจางคนนี้ หรือจะเป็นเก้ายอดคนกัน?” บริกรที่ถูกกระบี่ฟันที่ท้องน้อยหนึ่งแผลอดเอ่ยอย่างทอดถอนใจไม่ได้ “กระทำการดุจมังกรเทพเห็นหัวแต่ไม่เห็นหาง ช่างน่าเลื่อมใสจริงๆ”

คนทั้งกลุ่มทยอยกันพยักหน้า

ราศีของนักพรตจางซานเฟิงคนนี้เหมือนกับผู้สูงส่งจากนอกพิภพจริงๆ

“เจ้าสำนัก แล้วพวกเราไปไหนกันต่อดี?” นักพรตคนหนึ่งถามขึ้น

ทุกคนมองไปยังเต้าเจิน

เต้าเจินตอบอย่างไม่ต้องคิด “กลับเขาเมืองมรกต”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่น สีหน้าท่าทางมีความมุ่งมั่นต่อสู้

……

เมื่อออกจากหุบผามรกต หากระเรียนขาวพบ หลี่มู่พาชิงเฟิงและจ้าวจี้กลับขึ้นไปบนหลังกระเรียนขาว รวมกลุ่มกับหยวนโห่วและนายพลฮัสกี้

จากนั้นเริ่มออกเดินทางอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าอีกครั้ง

หลี่มู่นั่งนิ่งแล้ว สายตาจับจ้องไปยังไซบีเรียนฮัสกี้ บนปากของเจ้านี่ไม่มีเลือดสด แต่สายตากลับล่อกแล่กชอบกล ถ้าไม่ได้ไปกัดคนแล้วมันออกไปทำอะไร? หรือว่าจะไปช่วยเหลือ?

“มองอะไร” นายพลฮัสกี้พูดเสียงแข็ง

หลี่มู่หันหน้าไปหาหยวนโห่ว

หยวนโห่วอ้าปากกำลังจะเอ่ย เจ้านายพลฮัสกี้ก็รีบแย่งพูดด้วยความโมโห “เจ้าลิง ข้าเตือนเจ้าไว้แล้วนะ ถ้าเจ้ากล้าบอกคนเลี้ยงเรื่องที่ข้ากลืนสมบัติกับอาวุธของนักพรตบ้าพวกนั้นละก็ ข้าจะกัดขาเจ้าให้ขาดเลย”

หยวนโห่ว “…”

หลี่มู่ “…”

เจ้าฮัสกี้พูดจบ จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง

เหมือนกับ…ถูกเปิดโปงอะไรไป?

หลี่มู่มองมัน กลืนสมบัติกับอาวุธเข้าไป?

ฟันแข็งแรงปานนั้นเลยหรือ?

คิดไปคิดมา หลี่มู่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

ตอนอยู่ที่เมืองขาวพิสุทธิ์ อาวุธหลายชิ้นในคลังหายไปอย่างไร้สาเหตุ ตอนนั้นหลี่มู่ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังคิดว่าตนเองจำผิดไปด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรส่วนสำคัญของคลังอาวุธก็มีผนึกอยู่มากมาย ไม่มีใครเข้าไปได้ แต่ว่าตอนนี้…คงไม่ใช่เจ้าสุนัขตัวนี้ทำหรอกนะ?

หลี่มู่รู้ว่าตั้งแต่ที่เจ้าฮัสกี้ถูกซินแสเฒ่าส่งมาโลกนี้โดยไม่ตั้งใจก็เริ่มมีความสามารถประหลาด เช่นเคลื่อนย้ายในพริบตาโดยมองข้ามผนึก ค่ายกล ช่องว่าง และระยะห่างได้ ก่อนหน้านี้หลี่มู่ก็เคยถาม คำตอบที่ได้รับคือเจ้านี่ก็ไม่รู้ว่าจะควบคุมพลังของตนอย่างไร บางครั้งได้บางครั้งไม่ได้ แต่รู้อยู่เพียงเรื่องเดียวคือพอมันอยากทำมากเป็นพิเศษ พลังเช่นนั้นจะสามารถใช้ได้

คิดๆ แล้ว หลี่มู่จึงตัดสินใจทดสอบดู

เขาลองทิ้งกระบี่ยาวอาวุธระดับต่ำเล่มหนึ่งออกไป เป็นสิ่งที่ยึดมาได้จากภาชนะมิติเก็บของของหวงเซิ่งอี้

“โฮ่ง” ปฏิกิริยาของมันรวดเร็วมาก กระโดดออกไปราวสายฟ้าแลบ งับไว้ได้ในทีเดียว ตัวกระบี่ที่ตีขึ้นจากเหล็กเย็นเยือกสีดำ ตอนอยู่ในปากของมันเหมือนขนมปังถูกอบจนกรอบ เคี้ยวดังกรอบแกรบไม่กี่คำก็กลืนลงไป

กลืนหมดแล้วมันกระดิกหางระริกระรี้มาทางหลี่มู่ ทำสีหน้าสื่อว่าเอามาอีก

หลี่มู่คิดเล็กน้อย จากนั้นจึงโยนกระบี่เหล็กชั้นดีไร้อันดับเล่มหนึ่งไปอีก

เจ้านายพลกระโดดขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก งับกระบี่เล่มนี้แล้วเคี้ยวกรอบแกรบไปหลายคำจนแตกละเอียด ก่อนจะถุยพรวดออกมา เอ่ยขึ้นอย่างโมโห “ถุยๆๆ เจ้าคนเลี้ยง นี่หมายความว่าอะไร? เล่นตลกกับข้าเหรอโฮ่ง? ขยะอย่างนี้กินได้ที่ไหน?”

หลี่มู่มองฟันของเจ้าสุนัขโง่ ผงกศีรษะอย่างเงียบงันในใจ

เทพเทวาแม่เจ้าเอ๊ย

ต่อไปต้องระวังสุนัขโง่ตัวนี้เสียหน่อยแล้ว ฟันนั่นทำไมถึงน่ากลัวเพียงนี้ ต่อให้เป็นอาวุธเต๋าก็คงจะทานฟันเหล่านี้ได้ยากกระมัง ถ้าวันไหนไม่ระวัง ดาบวัฏจักรได้ถูกสุนัขโง่นี่กินลงไปแน่

พอมาคิดอีกที เจอกับฟันสุนัขเช่นนี้ ถึงจะเป็นเลือดเนื้อกระดูกของขั้นเทวะก็น่าจะเอาไม่อยู่?

ถ้าถูกเจ้าสุนัขโง่นี่กัดเข้า ขั้นมหาเทวะต้องถูกกัดเนื้อขาดเป็นแน่

มิน่าหยวนโห่วถึงได้ถูกเจ้านี่ขู่เอา

เพียงพริบตาก็ผ่านไปสี่วัน

พวกของหลี่มู่เดินทางตลอดกลางวันและกลางคืน

นอกจากยามที่กระเรียนขาวเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหว ถึงจะร่อนลงมาพักผ่อนราวครึ่งชั่วยาม มิเช่นนั้นหลี่มู่จะไม่หยุดพักเลยตลอดทาง

เขาก็กังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น

ถึงอย่างไรบนโลกใบนี้ หวางซืออวี่เพื่อนร่วมโต๊ะดาวโรงเรียนในอดีตก็ถือเป็นคนสนิทคนหนึ่งของหลี่มู่

ช่วงกลางวันของวันนี้ สายลมโชยอ่อนแสงแดดสว่างจ้า อากาศในสารทฤดูเย็นสบาย

“มาถึงท้องฟ้าเหนือเมืองหลินอันแล้ว” จ้าวจี้พลันเอ่ยขึ้น

หลี่มู่ลืมตา มองลงไปเบื้องล่าง

เมืองใหญ่ที่โอ่อ่างดงามเมืองหนึ่งปรากฏขึ้นด้านล่างชั้นเมฆ กินพื้นที่หลายร้อยลี้ หอสูงตั้งตระหง่าน แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านกลาง ราวกับเส้นสายเชื่อมโยงสีเขียวหลายเส้น แบ่งเมืองใหญ่เมืองนี้ออกเป็นเขตต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน ประกอบกับทะเลสาบกว้างใหญ่อีกนับสิบที่แต่งแต้มกระจัดกระจายอยู่ตรงกลางเหมือนดวงดาว ดุจหยกสีเขียวไร้ตำหนิ ยิ่งขับความงดงามของเมืองหลินอันให้มากขึ้น

นี่คือเมืองสวยงามที่เจริญรุ่งเรืองและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรมเมืองหนึ่ง

หลี่มู่ไม่เคยไปเมืองหลวงฉินแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตก แต่พอคิดดูแล้ว ทัศนียภาพของเมืองฉินคงแตกต่างจากหลินอันอย่างสิ้นเชิง

กระเรียนขาวบินต่ออีกราวหนึ่งถ้วยชาจึงบินข้ามเมืองหลินอันไป

“ตรงไปอีกด้านหน้า ไม่นานก็ถึงเขาหัวโคแล้ว” ใจของจ้าวจี้เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย

นับจากตอนที่เขาไปขอความช่วยเหลือที่ฉินตะวันตกก็ผ่านไปกว่ายี่สิบวันแล้ว หวังว่าทุกเรื่องจะยังทันกาล

……

เวลาเดียวกัน วัดซ่อนมรรคาบนเขาหัวโค

“ท่านหญิง ท่านตัดสินใจว่าจะออกเรือนกับจิ้นอ๋องแล้วจริงหรือเจ้าคะ?” สาวใช้เฝ่ยชุ่ยมีสีหน้าโศกเศร้า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

บนกำแพงในห้องอันเงียบสงบ มีกระจกทองแดงแกะสลักงดงามแขวนอยู่บานหนึ่ง

ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้งใต้กระจก เด็กสาวอายุราวสิบสี่ห้าคนหนึ่งกำลังนั่งแต่งตัวอย่างเชื่องช้า นางสวมชุดกระโปรงยาวรัดรูปแบบชาววัง ผมยาวราวเมฆดำปล่อยสยายอยู่ด้านหลังและข้างไหล่ โครงเส้นกลางหลังสวยงามและประณีต

บนกระจกเป็นใบหน้ารูปหัวใจที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบ ผิวดั่งหยก ไร้รอยตำหนิ ขาวนวลอย่างมีสุขภาพดี สันจมูกตรงและงดงาม ริมฝีปากเล็กอวบอิ่ม เครื่องหน้าทั้งห้าสอดรับกัน งามวิจิตรจนถึงที่สุด โดยเฉพาะดวงตาสีดำกลมโตภายใต้การปกป้องของแพขนตายาว ยิ่งราวกับพูดได้อย่างไรอย่างนั้น ทั้งใบหน้ามีรัศมีน่าดึงดูดใจบางอย่าง

………………………..………….……….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา