ถ้าหากหลี่มู่อยู่ด้วยละก็ ต้องใช้เวลาสักสามถึงห้าวินาทีถึงจะมองออกว่าเด็กสาวคนนี้คือหวางซืออวี่เพื่อนร่วมโต๊ะดาวโรงเรียนของตนในวันวาน
เมื่อเทียบกับเด็กสาวที่ดึงดูดสายตาชายทั้งโรงเรียนรวมถึงครูผู้ชายบนดาวโลกคนนั้นแล้ว ภายใต้การบำรุงของพลังวิญญาณบนดาวดวงนี้ หวางซืออวี่ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงจนแทบจะถอดร่างเปลี่ยนกระดูก ผิวพรรณดีขึ้น จิตใจมีชีวิตชีวามากขึ้น ผมยาวขึ้น และยังแต่งกายตามแบบโบราณอีก…
อย่างไรก็ตาม หวางซืออวี่ตอนนี้เปล่งประกายเสน่ห์ที่ทำให้คนตกตะลึง
สภาพแวดล้อมเช่นไรก็มักจะเพาะบ่มคนเช่นนั้นออกมา
หนำซ้ำยังเป็นดวงดาวที่มีสภาพแวดล้อมเปี่ยมพลังวิญญาณเช่นนี้อีก
“เด็กคนนี้ เจ้าจะร้องห่มร้องไห้ทำไมกัน ข้าไปออกเรือนนะ ไม่ใช่ไปตาย” หวางซืออวี่หัวเราะคิกคักยืนขึ้น หมุนตัวรอบหนึ่งหน้ากระจก ราวกับพึงพอใจทรวดทรงของตนเองมาก ส่วนที่ต้องปกปิดก็ปกปิดเรียบร้อย นางถอนใจโล่งอก เอ่ยขึ้นว่า “เรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆ มาเถอะ เสี่ยวชุ่ยเอ๋อร์ ยิ้มให้ท่านหญิงเจ้าหน่อยซิ”
สาวใช้เฝ่ยชุ่ยหยุดร้องไห้แล้วยิ้ม แต่เพียงครู่ก็กลับไประทมทุกข์อีก “ท่านหญิง นี่มันเวลาอะไรแล้ว ท่านยังยิ้มออกอยู่ได้”
หวางซืออวี่ขยับร่างกายพลางจัดเสื้อผ้าให้เหมาะสม ยิ้มเริงร่าตอบกลับว่า “ทำไมจะยิ้มออกไม่ได้ล่ะ ข้าไปเป็นหวางเฟยเลยนะ ไม่ได้ออกเรือนกับขอทานเสียหน่อย”
ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจอย่างที่คิด หวางซืออวี่เวลานี้เปล่งปลั่งกระปรี้กระเปร่า เชื่อมั่นในตนเองมาก
เดิมทีนางก็เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองเป็นพิเศษอยู่แล้ว
“แต่ว่าเรื่องที่ท่านจะออกเรือน แจ้งกับท่านอ๋องเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้เฝ่ยชุ่ยกล่าวด้วย
หวางซืออวี่โบกมือ เอ่ยขึ้นอย่างจนใจ “อย่าเชียว ห้ามเด็ดขาด ถ้าพ่อบุญธรรมรู้เข้าละก็ต้องเอาความตายมาบีบข้า ให้ข้าอดทนแน่ เขายอมสละพวกท่านอาอู๋ท่านอาจูได้ แต่จะไม่ยอมให้ข้าไปออกเรือนกับจิ้นอ๋อง เช่นนั้นแผนการของข้าก็จะพังไม่มีชิ้นดี”
สาวใช้เฝ่ยชุ่ยเอ่ย “ท่านหญิงมีฐานะสูงส่ง มีเกียรติสูงศักดิ์นัก พวกองครักษ์อู๋องครักษ์จูล้วนยอมตายแทนท่านได้ ขอแค่ประวิงเวลาไว้อีกสักหน่อย ยอดจอมยุทธ์ที่ท่านพูดถึงคนนั้นก็จะมาถึงแล้ว แค่…”
หวางซืออวี่หัวเราะ ส่ายหน้าตอบกลับ “ฐานะสูงศักดิ์อะไรกัน ยินยอมอะไรกัน เฝ่ยชุ่ย เจ้าจงจำไว้ ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน กำเนิดมาไม่ได้แบ่งระดับอะไรทั้งสิ้น แต่ก่อนข้าก็เป็นแค่เด็กแก่นแก้ว โชคดีที่ท่านพ่อบุญธรรมเก็บข้ามา ถึงได้เปลี่ยนจากนกกระจอกเป็นพญาหงส์ ท่านอาอู๋กับท่านอาจูปกติดีต่อข้ามาก ข้าไม่อาจทนมองดูพวกเขาตายได้”
หนึ่งปีกว่าที่มายังโลกใบนี้ แนวคิดของหวางซืออวี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
แนวคิดมากมายที่นางยึดมั่นยังคงเป็นทฤษฎีจากดาวโลก ต่อให้มีฐานะเป็นท่านหญิงที่สูงส่ง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น บริวารมากมายก็เหมือนเพื่อนหรือญาติในสายตานาง
“แต่ว่า…แต่ว่า…” สาวใช้เฝ่ยชุ่ยทัดทาน “ท่านบอกไม่ใช่หรือว่าจอมยุทธ์คนนั้นมาแล้วจะช่วยท่านออกจากทะเลแห่งความทุกข์นี้ได้แน่ ทำไมจึงไม่รออีกเสียหน่อยเล่า?”
หวางซืออวี่หัวเราะ ตอบกลับ “ถ้ายังรออีกจะมีคนบริสุทธิ์อีกมากต้องตายเพราะข้า ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะดูถูกตนเอง ตอนที่เขามาถึง เขาก็จะดูแคลนข้าเช่นกัน เขาเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ หนึ่งดาบฟันพันหมื่นศัตรูถอย ข้าจะให้เขามาดูถูกข้าไม่ได้” พูดถึงตอนท้าย ใบหน้างามของนางปรากฏสีหน้าซับซ้อน ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจ
“แต่ว่า…แต่ว่า…” สาวใช้เฝ่ยชุ่ยยังคงไม่เข้าใจ เอ่ยต่อว่า “จิ้นอ๋องนั่นไม่ใช่คนดีอะไร เขาก็ไม่ได้รักท่านจริง แค่ต้องการใช้ตำแหน่งและฐานะของท่านเท่านั้น ท่านออกเรือนกับเขาจะมีความสุขหรือ?”
“เจ้านี่นะ ฟังนิทานความรักมามากเกินไปแล้ว ถึงพูดคำว่าความสุขเช่นนี้?” หวางซืออวี่กล่าวอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “รักๆ ใคร่ๆ อะไรกัน นี่เป็นแค่แผนชั่วคราวของข้าเท่านั้น แต่งงานไปก็ยังหย่ากันได้นี่ ไม่เห็นจะมีอะไร”
นางเป็นคนดาวโลก ความคิดเปิดกว้างมาก
สาวใช้เฝ่ยชุ่ยยังรู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย ร้องไห้กระซิก รู้สึกว่าท่านหญิงของตนดีแสนดี งดงามราวเซียน จิตใจดีงาม ทำไมจึงต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้ด้วย
“เอาละ ของที่ข้าให้เจ้าไปเตรียมล่ะ” หวางซืออวี่สวมชุดแต่งงานสีแดง ทั้งตัวตอนนี้ราวกับภูตแห่งเปลวเพลิง
เฝ่ยชุ่ยหยิบกระบี่อ่อนสีเขียวที่ละเอียดประณีตเล่มหนึ่งส่งให้กับหวางซืออวี่ กล่าวว่า “ท่านหญิง ‘งูเขียว’ เล่มนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ท่านอ๋องรักที่สุด ว่ากันว่าถึงแม้จะไม่มีคลื่นพลังวิญญาณใดๆ แต่สามารถทำร้ายได้กระทั่งขั้นเหนือมนุษย์…ท่านต้องระมัดระวังให้มาก อย่าได้ทำเรื่องเขลา”
หวางซืออวี่รับกระบี่อ่อนมาคาดไว้ที่เอว เสียงแกร๊กดังขึ้น ปากงูเขียวบนด้ามกระบี่เปิดออก กลืนปลายกระบี่เข้าไป นางหัวเราะเอ่ย “เจ้าว่าข้าเหมือนคนที่จะทำเรื่องโง่หรือ?” นางไม่มีทางทำเรื่องอย่างฆ่าตัวตายในคืนแรกของการแต่งงานอยู่แล้ว โลกใบนี้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ นางจะมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นให้มาก อีกอย่างชั่วชีวิตที่เหลือนางยังอยากกลับไปบ้านเกิดของตนเองด้วย
“ข้าให้เจ้าไปวางยาในชาของพ่อบุญธรรม เจ้าทำแล้วใช่ไหม?” หวางซืออวี่ถามขึ้นอีก
เฝ่ยชุ่ยตอบกลับด้วยใบหน้าขมขื่น “วางแล้วเจ้าค่ะ…ท่านหญิง หากท่านอ๋องตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าข้าเป็นคนวางยา เช่นนั้น…”
“ไม่เป็นไร พ่อบุญธรรมข้ามีจิตใจเมตตาขนาดนั้น ทั้งฉลาดและมีคุณธรรม ไม่น่าจะเอาชีวิตเจ้าหรอก อย่างมากก็อาจโบยแส้สักร้อยที” หวางซืออวี่ติดเครื่องประดับบางส่วนบนตัว ในนั้นมีปิ่นปักผมสีทองสว่างสองสามอัน ปกติแล้วนางไม่เคยใช้มันเลย เวลานี้กลับเสียบบนมวยผมอย่างระมัดระวัง
“หา?” หน้าเล็กๆ ของเฝ่ยชุ่ยแทบจะยับยู่เข้าหากัน
หวางซืออวี่หัวเราะ เอ่ยว่า “ดูเจ้าตกใจเข้า ล้อเล่นน่า…กะดูแล้วยาน่าจะออกฤทธิ์เรียบร้อย ท่านพ่อบุญธรรมคงหลับไปแล้ว เร็วๆ ไปกันได้…GO GO GO!”
เฝ่ยชุ่ยหันซ้ายหันขวากวาดตามองอย่างไม่เข้าใจ “สุนัข[1]? มีสุนัขที่ไหนกันเจ้าคะ?”
……
หลังเดินทางผ่านเมืองหลินอันมาได้ครึ่งวัน
“ด้านหน้าคือเขาหัวโคแล้ว” จ้าวจี้ชี้ไปใต้ชั้นเมฆอย่างตื่นเต้น
หลี่มู่มองลงไป
ด้านล่างเป็นเทือกเขาทอดยาวอย่างที่คิดไว้ ไม่ถือว่าเป็นเขาที่สูงชันอันตรายเท่าใดนัก แต่มีพืชคลุมดินปกคลุมอย่างดี โดยเฉพาะภูเขาหนึ่งในนั้น รูปร่างราวกับโคหนุ่มตัวหนึ่งนอนฟุบอยู่บนแผ่นดิน และตำแหน่งของยอดหลักเขาก็คือหัวโค มีหินนูนออกมาสองแง่งเป็นเขาโค โคเชิดหน้ามองฟ้าคล้ายกำลังส่งเสียงร้อง มองจากด้านบนลงไปเหมือนโคที่มีชีวิตจริงยิ่งนัก
เขาหัวโคก็สมกับชื่อจริงๆ
“ลงไป” หลี่มู่เอ่ยสั่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา