จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 391

หวางซืออวี่ก็ตกใจเช่นกัน

เธอคิดไม่ถึงว่าหลี่มู่จะไม่อ้อมค้อม พอลงมือก็สังหารจิ้นอ๋องเลยเช่นนี้

เด็กผู้ชายอบอุ่นที่โรงเรียนในวันวาน เด็กหนุ่มชนบทที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เต็มไปด้วยพลังและความฉลาดปราดเปรียวคนนั้น เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งจากดาวโลก แค่ยกมือก็สังหารท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งได้…ในชั่วขณะนั้น หวางซืออวี่รู้แจ้งแล้วว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เพื่อนร่วมโต๊ะวัยเด็กในอดีต ตอนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเทวะที่ชื่อก้องไปทั่วปฐพี หากอยู่บนดาวโลกละก็ หลี่มู่คนเดียวเทียบได้กับกำลังของสมาชิกถาวรแห่งสหประชาชาติเลยกระมัง

ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นในหัวของหวางซืออวี่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

ทำให้เธอตระหนักได้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปจากวันวานแล้ว

“แก้แค้นให้ท่านอ๋อง”

“ฆ่ามัน”

“สู้กับมันสุดกำลัง”

องครักษ์ของจิ้นอ๋องที่ตั้งสติได้ในที่สุดชักอาวุธออกมา บุกเข้าไปหาหลี่มู่อย่างไม่กลัวตาย

พวกเขาเป็นทหารหน่วยกล้าตายของจิ้นอ๋อง พลังต่ำที่สุดคือขั้นฟ้าประทาน ในนั้นมีขั้นเหนือมนุษย์ด้วยเช่นกัน หากนายถูกดูหมิ่นลูกน้องตาย อีกทั้งจิ้นอ๋องถูกตัดหัวต่อหน้าคนทั้งหลาย ในใจของพวกทหารกล้าตายพวกนี้ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย การสังหารคือสัญชาตญาณ เหมือนกับคนบ้าก็ไม่ปาน

หลี่มู่ไม่ออมมือให้

แสงดาบกึ่งโปร่งแสงหมุนวน

ปราณดาบไร้กฎเกณฑ์ที่คล้ายคลื่นแสงฟันผ่านกลางอากาศ คล้ายตาข่ายผืนหนึ่ง

เสี้ยวขณะต่อมา ร่างหน่วยกล้าตายส่วนตัวของจิ้นอ๋องทั้งร้อยนายก็กลายเป็นเปลวไฟแดงฉานอันงดงามหลายลูกในระหว่างที่พุ่งไปข้างหน้า ราวกับดอกไม้แห่งความตายบานสะพรั่ง หายวับไปในระยะห่างจากหลี่มู่สามสี่จั้ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแก้แค้นเลย แม้แต่ชายเสื้อของหลี่มู่ก็ยังไม่ได้แตะ

ความแตกต่างของกำลังและระดับพลังมากเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่จำนวนจะสามารถชดเชยได้

ไม่มีเลือดนอง

แต่สภาพที่นั่นทำให้คนหวาดผวายิ่งกว่าการเข่นฆ่าทารุณเสียอีก

เจ้าสำนักใหญ่ต่างๆ บนแท่นพิธีหลักกับบุคคลสำคัญจากแต่ละฝ่ายบนที่นั่งแขกผู้มีเกียรติล้วนตัวสั่นงันงก ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาต่างหวาดกลัวไม่กล้าสู้ กระทั่งไม่กล้าหนี

ตำแหน่งที่นั่งของพวกองค์หญิงซินเยวี่ยและเหล่าสหายของนางใกล้กับแท่นพิธีมาก

ตอนนี้สตรีเหล่านี้เนื้อตัวสั่นสะท้านกันหมด

โดยเฉพาะองค์หญิงซินเยวี่ย ความพรั่นพรึงและตื่นตระหนกในใจยากจะใช้คำมาบรรยาย

แม้แต่ฝันนางก็ยังไม่ฝันว่าท่านหญิงหวนจูจะมี ‘สหายเก่า’ ที่น่ากลัวขนาดนี้ด้วย

จิ้นอ๋องจ้าวเฉินเป็นฝ่ายล้มล้างจักรพรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดของซ่งเหนือ มีทหารมหาศาล ควบคุมขั้วอำนาจยุทธจักรซ่งเหนือไปกว่าครึ่ง แต่กลับถูกสังหารเหมือนไก่ตัวหนึ่ง ทั้งกองกำลังสำแดงเดชสองแสนนายที่ได้ชื่อว่าเกรียงไกรใต้ฟ้า ผู้แข็งแกร่งในยุทธจักรและเจ้าสำนักหลายร้อยคน ต่างก็ต้านทานไม่ได้ ครึ่งเทวะคนหนึ่งก็ไม่อาจต้านทานได้เช่นกัน

เด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวนามจางซานเฟิงเป็นดั่งเทพสังหารที่ลงมาจากสวรรค์ ประหนึ่งเทพไร้พ่ายชัดๆ ทำให้ทุกคนไร้หนทางสู้

‘ชายในดวงใจของข้าเป็นยอดวีรบุรุษแห่งยุค วันหนึ่งเขาจะสวมชุดเกราะทองอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ เหยียบเมฆมงคลเจ็ดสีมาสู่ขอข้า…’

ประโยคนี้ของท่านหญิงหวนจูถูกมองเป็นเรื่องละเมอเพ้อพก ลือไปทั่วทั้งเมืองหลวงหลินอัน เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ก็ถูกองค์หญิงซินเยวี่ยหัวเราะเยาะหยามหมิ่นเอา แต่ตอนนี้…

ใครเป็นตัวตลกกันแน่?

ลำพังแค่พลังที่เด็กหนุ่มชุดขาวนามจางซานเฟิงคนนี้สำแดงออกมา ต่อให้ไม่ได้สวมชุดเกราะทองอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์เหยียบเมฆมงคลเจ็ดสี ก็เรียกว่าเป็น ‘ยอดวีรบุรุษแห่งยุค’ ได้แล้ว

อีกทั้งเด็กหนุ่มชุดขาวนอกจากผมจะสั้นมาก เหมือนพระแต่ก็ไม่ใช่พระ เหมือนนักพรตแต่ก็ไม่ใช่พรต ดูประหลาดหน่อยๆ ด้านอื่นก็นับเป็นคนมีความสามารถองอาจผ่าเผยแน่นอน โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่เหมือนมีดวงดาวอยู่ ชวนให้คนเห็นแล้วยากจะลืมเลือน เป็นบุคคลสง่างามที่หายากนัก

ในใจขององค์หญิงซินเยวี่ยทั้งอิจฉา ริษยา และหวาดกลัว

ตอนนี้เอง หลี่มู่มองมายังหวางซืออวี่แล้วจึงถาม “ใช่แล้ว เมื่อครู่เธอยังบอกว่ามีนางมารร้ายบางคนรังแก เป็นใครคนไหน? เธอชี้ตัวมา ฉันจะแก้แค้นแทนเอง”

ประโยคนี้ทำเอาหัวใจขององค์หญิงซินเยวี่ยเต้นไม่เป็นส่ำ เหงื่อไหลโชก

หวางซืออวี่หัวเราะ กล่าวว่า “นั่นหลอกนายต่างหากเล่า ไม่มีหรอก จิ้นอ๋องที่ปฏิบัติไม่ดีกับฉัน สังหารองครักษ์ประจำตัวของท่านพ่อบุญธรรมไปมากมาย ก็ถูกนายฆ่าทิ้งไปแล้ว”

หลี่มู่พยักหน้า ไม่ถามอะไรให้ละเอียดอีก หันไปมองยังเจ้าสำนักใหญ่ต่างๆ แล้วพูดขึ้น “แต่ละสำนักกลับไปปิดสำนักร้อยปี ภายในหนึ่งร้อยปีนี้คนในสำนักห้ามข้องเกี่ยวในยุทธจักร ทำได้หรือไม่?”

“น้อมรับคำบัญชา”

“ตามประสงค์ของเทวะ”

“พวกข้าล้วนยินดี”

เจ้าสำนักของ ‘สำนักวายุอัสนี’ ‘สำนักขุนเขาแม่น้ำ’ และ ‘เรือนจิตสวรรค์’ ต่างก้มหน้า ไม่กล้ามองตาหลี่มู่

พวกเขาทุกสำนักเป็นสำนักขนาดใหญ่ระดับสุดยอดที่ชื่อสะเทือนไปทั้งซ่งเหนือ อยู่ในแผ่นดินใหญ่เสินโจวมีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดา ลูกศิษย์ของสำนักต่างเป็นพวกโดดเด่นในแวดวงหนึ่งหรือเรียกลมเรียกฝนได้ในยุทธจักรซ่งเหนือที่สถานการณ์ผันผวน ไปจนกระทั่งในราชสำนักจักรวรรดิ ทว่าเมื่อมาถึงยามนี้ เจ้าสำนักพวกนี้แต่ละคนเชื่องราวแกะ ไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย รับปากไปทันที

เพราะมองไม่เห็นความหวังที่จะชนะเลย

พวกเขาเป็นสำนักยิ่งใหญ่กันทั้งสิ้น ถึงพระหนีได้แต่วัดหนีไม่ได้ หากเล่นบทยอมหักไม่ยอมงอแล้วจางซานเฟิงแห่งเขาบู๊ลิ้มผู้นี้บุกไปหาที่สำนัก ย่อมหนีภัยล้มล้างสำนักไม่ได้แล้ว

สำนักใหญ่ที่สืบทอดมายาวนาน พลังเบื้องหลังล้ำลึก มีอิทธิพลในวงกว้าง กลับค่อยๆ จมอยู่ในวังวนของผลประโยชน์เรื่องทางโลก ขาดพลังมุ่งหมายต่อสู้ ส่วนมากทำได้แค่รักษาเมือง แน่นอนว่าสิ่งที่จะพิจารณาก่อนเป็นอันดับแรกก็คือผลประโยชน์ของสำนัก ก็แค่ปิดสำนักร้อยปีเท่านั้น สำหรับโลกวิถียุทธ์แล้ว เวลาร้อยปีก็ไม่ได้นานมากนัก

หลี่มู่โบกมือเอ่ย “ไปให้หมด”

เจ้าสำนักกับผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือทั้งหลายแปลงเป็นแสงรุ้งจากไปทันทีราวกับหนีตาย

หลี่มู่มองไปทางทหารกองกำลังสำแดงเดช

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา