เนื่องจากพรรคกระยาจกต้องการปิดข่าว ศึกบนเกาะขอทานจึงไม่แพร่ออกไปเป็นวงกว้างนัก เชื้อพระวงศ์ซ่งเหนือรู้เรื่องภายใน แต่ก็ให้ความร่วมมือกับพรรคกระยาจกในการปิดข่าวนี้
ซ่งเหนือในปัจจุบันอยู่ในยุคที่เหตุบ้านการเมืองผันผวน ไม่ว่าพรรคกระยาจกหรือราชวงศ์ล้วนไม่อยากให้เรื่องเช่นนี้แพร่งพรายออกไป รู้กันเพียงภายในก็พอแล้ว
จวนปาเสียนอ๋องมีพื้นที่กว้างขวางยิ่ง ราวกับสวนป่าก็มิปาน มีหอศาลาพักผ่อน รั้วสลักหยก ศาลาริมน้ำระเบียงล้อมรอบ สายธารไหลเอื่อย หอแบบโบราณ สิ่งปลูกสร้างงดงามเรียงรายปานเกล็ดปลา กลางสวนปลูกไม้ดอกหายากนานาพันธุ์ไว้ โดยมีค่ายกลดาราสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของดอกไม้ใบหญ้าพันธุ์แปลกจากทั่วจักรวรรดิ กลิ่นหอมดอกไม้ฟุ้งทั่วสวน
ในฐานะอ๋องที่ว่างงาน ปาเสียนอ๋องในช่วงสิบกว่ามาปีนี้ว่างอยู่บ้านเสียครึ่งหนึ่ง คอยปลูกดอกไม้ต้นไม้ เล่นกับปลาและแมลง มีเพียงช่วงที่จักรวรรดิซ่งเหนือเกิดเรื่องใหญ่ จักรพรรดิจึงจะเรียกเข้าพบเพื่อปรึกษากลยุทธ์จัดการบ้านเมือง
เห็นได้ว่า เขายังได้รับความเชื่อมั่นอย่างมากจากจักรพรรดิ
เพียงแต่ซ่งเหนือยามนี้ลมฝนกระหน่ำ อ๋องกบฏลุกฮือติดๆ กัน จำนวนครั้งที่ปาเสียนอ๋องเข้าวังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และค่อยๆ มากขึ้นทุกที โดยเฉพาะหลังจากกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ เขาเข้าวังพบจักรพรรดิหนึ่งวันหนึ่งคืนจึงจะกลับมาจวนอ๋อง
“เทวะหลี่ยังอยู่หรือไม่?” ปาเสียนอ๋องไม่แสดงสีหน้า กลับมาถึงก็ถามขึ้น
หวางซืออวี่เข้าไปนวดไหล่ทุบหลังให้พ่อบุญธรรม ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “พี่มู่กำลังปิดด่านฝึกวิชาอยู่ที่เรือนหลังเจ้าค่ะ ศึกที่เกาะขอทานเขาได้รับอะไรมาด้วย จึงต้องการทำความเข้าใจเงียบๆ ระยะหนึ่ง น่าจะประมาณครึ่งเดือนจึงจะออกมา”
ปาเสียนอ๋องผ่อนลมหายใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ศึกที่เกาะขอทาน ตอนพ่ออยู่วังหลวงก็ได้ยินมา เทวะหลี่เป็นอัจฉริยะสวรรค์สร้างจริงๆ นับตั้งแต่แสดงตัวครั้งแรกก็ยังไม่เคยแพ้ใคร ไม่น่าเชื่อเลย ปีนี้เขาอายุสิบห้าจริงหรือ คงไม่ใช่ร่างอวตารของเทพเซียนองค์ใดหรอกนะ?”
หวางซืออวี่หัวเราะคิกคักตอบกลับ “เรื่องนี้ ลูกรับรองได้ว่าไม่ใช่แน่นอน โอกาสวาสนาของเขาเหนือกว่าใคร บวกกับเป็นอัจฉริยบุคคลด้านยุทธ์ ดังนั้นจึงรุดหน้าก้าวทะยานเช่นนี้”
ปาเสียนอ๋องเอ่ย “ใช้คำว่าอัจฉริยบุคคลมาพรรณนาไม่ได้แล้ว บนโลกนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขาดอัจฉริยบุคคลด้านยุทธ์ แต่คนที่เป็นเช่นเขาได้ อายุสิบห้าฝึกฝนจนถึงขั้นมหาเทวะ พูดได้เลยว่าแทบไม่มี”
หวางซืออวี่ตอบ “นี่ก็จริง”
เธออดทอดถอนใจไม่ได้ จากนั้นเล่าเรื่องที่ตัวอักษรบนป้ายหินหลังวัวดำในวัดซ่อนมรรคามีปฏิกิริยาตอบสนองกับหลี่มู่ให้ฟัง “ป้ายหินแผ่นนั้น หลายปีที่ผ่านมามีคนเคยเห็นตั้งมากมาย แต่มีเพียงแค่พี่มู่ถึงกระตุ้นความหมายที่แท้จริงในนั้นได้”
แต่ว่าเธอปิดบังเรื่องที่เต้าเต๋อจิงถูกประพันธ์โดยปรัชญาเมธีดาวโลกเอาไว้ เพราะหลี่มู่เคยบอกไว้แล้ว ตัวตนของคนจากดาวโลก อยู่บนโลกนี้อาจเป็นตัวแทนของอันตรายก็เป็นได้
“โอ้? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ปาเสียนอ๋องตาเป็นประกาย
เรื่องป้ายหินหลังวัวดำและวัดซ่อนมรรคา เขารู้เยอะกว่าที่หวางซืออวี่รู้มาก เรื่องนี้เกี่ยวกับความลับบางอย่างของราชวงศ์ซ่งเหนือ ในนั้นมีตำนานบางส่วนกล่าวไว้ เมื่อความลับบนป้ายหินหลังวัวดำถูกไขจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
ราชวงศ์ซ่งเหนือเคยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
แต่ต่อมา พันปีผ่านไป ไม่มีใครไขแก่นแท้ของมันได้ คนบางส่วนในราชวงศ์รู้สึกว่าอาจเป็นเพียงข่าวลือ จึงค่อยๆ ลดการให้ความสำคัญกับมันลง ไม่คิดว่า…คำทำนายจากตำนานนี้จะประทับลงบนตัวของหลี่มู่แล้ว
“จริงด้วย พ่อเพิ่งนึกเรื่องบางเรื่องออก ต้องเข้าวังอีกครั้งแล้ว”
เขาลุกขึ้น ไม่สนใจใคร ออกไปสั่งคนให้จัดเตรียมรถม้าและเดินทางไปที่วังหลวงอีกครั้ง
สีหน้าหวางซืออวี่ฉงนฉงาย
พ่อบุญธรรมเพิ่งออกมาจากในวังเอง
“โฮ่ง พี่สาวคนสวย พวกเรามาเล่นเก็บบอลอีกเถอะ” เจ้าฮัสกี้คาบศีรษะของเหลียงจื้อร่างมารเข้ามาอีกครั้ง
ช่วงนี้มันสนอกสนใจศีรษะนี้มาก การละเล่นเก็บศีรษะ อ๊ะ ไม่สิ การเก็บลูกขนนี้สนุกจนไม่เหนื่อยเลย
เหลียงจื้อร่างมารถูกทรมานจนสติแตกไปแล้ว เมื่อเห็นเจ้าฮัสกี้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มสอพลอ ไม่เหลือความโอหังของศิษย์สำนักทะเลโลหิตแห่งห้วงดาราสมุทรที่ฝึกฝน ‘เนตรโลหิต’ จนสำเร็จเลย
“ได้สิ” หวางซืออวี่ก็ยินดียิ่ง
ในฐานะเพื่อนเก่าสมัยอยู่ดาวโลก หนึ่งคนหนึ่งสุนัขรู้ใจกันมาก หวางซืออวี่สั่งให้คนในจวนอ๋องทำคันธนูขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งคันเพื่อเอาไว้ดีดศีรษะ…อ้อ ไม่สิ ดีดลูกขน
องครักษ์ขั้นปรมาจารย์สิบกว่าคนง้างคันธนู หวางซืออวี่วางศีรษะของเหลียงจื้อลงไป จากนั้นเลือกทิศทางแล้วเริ่มยิง
ในเรือนแยกหลังหนึ่งของจวนอ๋อง
หมิงเยวี่ยเท้าเปล่า นั่งเท้าคางอย่างเบื่อหน่ายอยู่คนเดียวบนหลังคา เท้าเล็กๆ ของเด็กสาวขาวเนียนนุ่ม แกว่งเตะไปมาอยู่กลางอากาศ
นางเป็นคนนิสัยชอบขยับตัว ชอบวิ่งไปแล่นมาเป็นที่สุด โดยเฉพาะในเมืองหลินอันของจักรวรรดิซ่งเหนือ ดอกไม้เบ่งบานละลานตา นางอยากออกไปโลดแล่นในเมืองแทบอดใจไม่อยู่….
ทว่า ชิงเฟิงยังเก็บตัวอยู่ในห้องข้างล่าง บอกว่าจะหลอมบางอย่าง
หมิงเยวี่ยจึงต้องอยู่ที่นี่เพื่อปกป้อง
“ข้าพูดไว้แล้ว จากนี้ไปจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ให้เจ้าได้รับบาดเจ็บใดๆ อีก ข้าหมิงเยวี่ยที่เป็นถึงประมุขพรรคอันดับหนึ่งแห่งซ่งเหนือ พูดแล้วไม่คืนคำ”
นางนั่งเท้าคาง มองเมฆขาวบนฟ้า มุมปากอดยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้
นางจะปกป้องชิงเฟิง
เพราะก่อนที่คุณชายจะมียศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งสามคนร่อนเร่พเนจร มักอดมื้อกินมื้ออยู่บ่อยๆ มีแค่ชิงเฟิงคนเดียวที่ออกไปขอทาน ขายงานฝีมือ ช่วยคนเขียนหนังสือ รับใช้ซื้อของ กระทั่งไปแบกหามเพื่อหาเงินมาเลี้ยงนางกับคุณชาย
ในตอนนั้น เป็นชิงเฟิงที่ปกป้องคนโง่ทึ่มดื้อรั้นอย่างนางไว้
ตอนนี้ นางควรยืนหยัดบ้างได้แล้ว
‘ข้ารู้ความแล้ว’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา