อีกหลายวันต่อมา ปาเสียนอ๋องอยากหาเวลาคุยกับหลี่มู่ และส่งต่อมิตรไมตรีของจักรพรรดิซ่งเหนือ ทว่าหลี่มู่อยู่ในสภาวะปิดด่านตลอด ไม่ออกจากห้องลับแม้เพียงครึ่งก้าว ทำให้เขาจนปัญญานัก ได้แต่พูดถึงเรื่องนี้กับหวางซืออวี่บ้าง พยายามหยิบยื่นไมตรีให้หมิงเยวี่ย ชิงเฟิง และหยวนโห่วอย่างเต็มที่ เข้าทางคนข้างกายหลี่มู่ก่อนก็แล้วกัน
เมื่อข่าวต่างๆ แพร่ไปทั่วอาณาจักรไม่หยุด ปาเสียนอ๋องก็งานยุ่งขึ้นอีก
สำหรับเชื้อพระวงศ์ซ่งเหนือ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
เพราะหลังจากจิ้นอ๋องตาย ที่ดินศักดินา ดินแดน กำลังทหาร และอำนาจก็พังทลายตามไปด้วย แต่เชื้อพระวงศ์ซ่งเหนือที่อยู่เหนือจุดสูงสุดของหลักจริยธรรม นอกจากจะรวบกำลังฝั่งจิ้นอ๋องอย่างที่ตอนแรกหวังเอาไว้ไม่ได้แล้ว ยังให้พวกกบฏล้มล้างจักรพรรดิบางกลุ่มฉวยโอกาสขยายอำนาจ โดยเฉพาะอี้อ๋องจ้าวชง ครอบครองกองกำลังสำแดงเดชได้เกือบทั้งหมด พละกำลังเพิ่มพุ่งพรวด จัดการยากกว่าจิ้นอ๋องในอดีตเสียอีก
ในขณะเดียวกัน ทุกหัวระแหงของซ่งเหนือก็เกิดความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน
หลังจากจิ้นอ๋องตายไป สถานการณ์ของจักรวรรดิไม่ใช่แค่ไม่ดีขึ้น ซ้ำร้ายกลับเหมือนคนแก่ป่วยหนักรักษายาก ถลำลึกไปก้าวแล้วก้าวเล่า อาการสาหัส ทำให้ทุกวันจักรพรรดิซ่งเหนือและเหล่าขุนนางร้อนรนดั่งมีไฟลนคิ้ว ร้อนใจจนเป็นร้อนใน
ปาเสียนอ๋องไปมาวังหลวงกับจวนอ๋องบ่อยครั้ง ยุ่งเสียตัวเป็นเกลียว
จักรวรรดิพันปี มีเมฆดำแผ่คลุม
ทางสำนักเทพพิทักษ์จักรวรรดิในอดีต ความวุ่นวายภายในสำนักเขาเมืองมรกตค่อยๆ สงบลง นักพรตเต้าหลิงกุมอำนาจเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่ผู้ทรงเกียรติคนใหม่แห่งยุทธภพผู้นี้กลับมีท่าทีเฉยชากับเชื้อพระวงศ์ซ่งเหนือ จักรพรรดิส่งทูตไปหลายสิบครั้ง เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์บางอย่างกัน หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากสำนักเทพ แต่ก็อยู่ในช่วงต่อรองมาโดยตลอด เงื่อนไขที่สำนักเทพเรียกร้องหนักข้อขึ้นทุกครั้ง จักรพรรดิซ่งเหนือพิโรธนัก แต่กลับจนปัญญา
และเมื่อความสัมพันธ์กับสำนักเทพไม่ลงรอยกัน ทำให้เมื่อเชื้อพระวงศ์ซ่งเหนือเผชิญหน้ากบฏล้มจักรพรรดิก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจ
เชื้อพระวงศ์ปลายราชวงศ์ที่อยู่ท่ามกลางลมพายุโหมกระหน่ำ ยิ่งโศกเศร้าอ้างว้างทบเท่าทวี
ยิ่งเป็นเช่นนี้ ปาเสียนอ๋องก็ยิ่งหวังว่าหลี่มู่จะอยู่ที่ซ่งเหนือได้
ตอนแรกจิ้นอ๋องกำเริบเสิบสานเหลือแสน แต่ภายใต้ดาบเดียวของหลี่มู่ก็ยังดับสลายไม่ใช่หรือ?
พวกกบฏล้มจักรพรรดิยามนี้ก็เช่นกัน อยู่ต่อหน้าหลี่มู่ก็เหมือนพวกไร้ประโยชน์ ขอแค่หลี่มู่รับใช้ราชนิกุลซ่งเหนือ ไม่สิ ต้องพูดว่าร่วมมือกัน เช่นนั้นตำแหน่งของเชื้อพระวงศ์ในซ่งเหนือก็จะมั่นคงดุจไท่ซานทันที
……
ในห้องลับที่เพิ่มความแข็งแกร่งของค่ายกลและผนึกใหม่ หลี่มู่กำลังฝึกฝนหมัดยุทธ์แท้
วิชาก่อนกำเนิดทะลวงถึงขั้นที่สาม ผลจากการหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูกายเนื้อเพิ่มสูงขึ้น หมายความว่าหลี่มู่ลองทำ ‘พันคลื่นวารี’ กระบวนท่าที่ห้าของหมัดยุทธ์แท้ได้แล้ว
ก่อนหน้านี้ หลี่มู่เคยลองฝึกฝนท่านี้ดู
แต่ทุกครั้งที่กระบวนท่าหมัดสำแดงได้ครึ่งหนึ่ง กายเนื้อจะรับไม่ไหว จำต้องหยุดไว้ ต่อให้ภายหลังหลี่มู่พัฒนาท่า ‘รวบหางยูง’ จนสมบูรณ์แล้วก็เป็นเช่นนี้
ตอนนี้ หลี่มู่ยังสำแดงท่าหมัดนี้อย่างทุลักทุเลอยู่บ้าง
เขายืนด้วยท่าประหลาด เคลื่อนไหวช้าเนิบ เหมือนทากคลานอย่างไรอย่างนั้น เรือนร่างที่เผยออกมานอกเสื้อผ้า มีหยดเลือดไหลออกมา บางที่เนื้อแตก กระดูกข้างในก็แตกร้าวเช่นกัน
เงื่อนไขด้านกายเนื้อของการฝึกฝน ‘หมัดยุทธ์แท้’ พิสดารจนถึงขีดสุด ดูเหมือนกระบวนท่าธรรมดา แต่การแบกรับของกายเนื้อช่างชวนให้คนยากจะเชื่อได้
เมื่อก่อนตอนอยู่บนดาวโลก หลี่มู่สำแดงหมัดยุทธ์แท้สิบแปดกระบวนท่าได้สบายๆ เหมือนกับออกกำลังกาย แต่พอเข้าขั้นจริงๆ กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้จนถึงตอนนี้หลี่มู่ก็ยังไม่เข้าใจ
ยามนี้วิชาก่อนกำเนิดเข้าขั้นที่สามแล้ว หลี่มู่ฝืนผลักดันกระบวนท่านี้
ซินแสเฒ่าเคยบอกเอาไว้ สี่ท่าแรกของหมัดยุทธ์แท้เป็นพื้นฐาน ท่าที่ห้าเป็นต้นไปถึงจะเป็นวิชาหมัดเซียนที่แท้จริง ซึ่งก้าวข้ามไปอีกขั้นใหม่แล้ว หลายวันมานี้ หลี่มู่จึงยิ่งรู้สึกว่าฟ้าดินของโลกนี้มีจิตสังหารที่เข้มข้นขึ้นทุกทีแฝงอยู่
ฟ้าเกิดจิตสังหาร ดาราคล้อยเคลื่อน แผ่นดินเกิดจิตสังหาร สรรพชีวิตอยู่ไม่เป็นสุข มนุษย์เกิดจิตสังหาร ทั้งฟ้าและดินจะพลิกผัน
ดาวดวงนี้อยู่ในช่วง ‘มนุษย์เกิดจิตสังหาร’ นานแล้ว เทวะแตกดับติดๆ กัน เก้ายอดคนใต้หล้าดับดิ้นไปหลายคน ลำดับขั้นวิถียุทธ์ในยุคเก่าเปลี่ยนไปไม่หวนคืน ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ มหาเทวะก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความไร้พ่ายและไม่ดับสูญอีก
ลำดับต่อไปก็จะเป็น ‘แผ่นดินเกิดจิตสังหาร’ แล้ว
ถึงตอนนั้นจะยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก
หลี่มู่มีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า หากไม่รีบยกระดับพลังโดยเร็วที่สุดจะยุ่งยากเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเขาจึงหวังว่าจะฝึกหมัดวิชาเซียนให้สำเร็จ
หมัดยุทธ์แท้ท่าที่ห้า ‘พันคลื่นวารี’ เป็นไพ่ตายใบใหม่ในใจหลี่มู่
ในที่สุด ใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็มๆ หลี่มู่ก็ฝืนทำท่วงท่าทั้งหมดของ ‘พันคลื่นวารี’ จนสำเร็จ ผลของการฝืนทนฝึกฝนก็คือหลี่มู่เนื้อตัวปริแตกไปทั้งร่าง กระดูกหักไม่รู้กี่ท่อน ความเจ็บปวดยากจะหาคำมาบรรยาย
ดีที่หลี่มู่ชินเสียแล้ว
เขารักษาท่ายืนเอาไว้ โคจรวิชาก่อนกำเนิดรักษาบาดแผล
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา บาดแผลก็สมานตัวดี
จากนั้นจึงฝึกฝนต่อ
ร่างกายถูกฉีกทึ้งไม่หยุด ต่อมาก็สมานตัวไม่หยุดเช่นกัน
ขั้นตอนนี้ก็เหมือนการตีเหล็ก ต้องเผาไฟ ตี แช่น้ำ พับทบ ทำซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่อง ถึงจะตีเหล็กกล้าที่ดีที่สุดออกมาได้ ฝึกฝนกายก็เหมือนตีเหล็ก ต้องตีซ้ำๆ ถึงจะก้าวหน้า
แต่เดิมความแข็งแกร่งและพลังของกายเนื้อหลี่มู่ในตอนนี้ก็น่าตื่นตกใจอยู่แล้ว อาวุธ เคล็ดวิชา และพลังที่ธรรมดายากจะทำร้ายร่างเขาได้ มีเพียงสู้กับผู้แข็งแกร่งอย่าง ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงเท่านั้นถึงจะได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นหากอยากฝึกฝนร่างกายก็กลายเป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว แต่หมัดยุทธ์แท้สามารถแก้ข้อบกพร่องนี้ได้พอดี ทำให้ความแข็งแกร่งของร่างกายหลี่มู่มีโอกาสพัฒนาไปอีกก้าว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลี่มู่ค่อยๆ รู้สึกว่าสำแดง ‘คลื่นพันวารี’ ได้ชำนาญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเก้กังหายไป ความเจ็บปวดรวดร้าวก็หายไปทีละนิดเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา