จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 496

วัดหรานเติงหลังจัดระเบียบใหม่ก็ดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก

ใต้ต้นสนใหญ่กลางลานด้านหน้ามีโต๊ะและเก้าอี้หิน หลี่มู่ชี้ไปที่นั่น แล้วเอ่ยขึ้น “เชิญนั่ง” ตัวเองก็หาๆ เก้าอี้หินตัวหนึ่งนั่งลง

ฟ่านจู่อั๋งก็นั่งลงบนเก้าอี้หินข้างๆ อย่างไม่วางมาดอะไร “ผู้ อาวุโสหลี่…”

หลี่มู่โบกมือทันที หัวเราะพลางเอ่ย “อย่า อย่าเรียกผมว่าผู้อาวุโส เชียว ผมอ่อนกว่าคุณ ห้าปีก่อนบังเอิญได้โอกาสไปจากโลกฝึกฝนวิชา เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเก้า ยังเป็นหนุ่มน้อยอยู่ คุณน่าจะสามสิบสองแล้ว ล่ะมั้ง เรียกผมว่าเสี่ยวมู่เถอะ”

เขาเชื่อว่าที่มาที่ไปของตน นายทหารข้าราชการระดับสูงหนุ่ม เบื้องหน้าคนนี้จะต้องได้ยินมาจากซูชั่วและซ่งชางหลินมาแล้วแน่นอน ไม่จําเป็นต้องปิดบังอะไร

“ได้ คนตรงพูดจาตรงๆ งั้นผมก็ไม่เกรงใจแล้ว” ฟ่านจู่อั๋งเห็นหลี่มู่ สบายๆ แบบนี้ก็หัวเราะอย่างสบายๆ “เสี่ยวมู่ เรื่องอัศจรรย์ของโอกาส ของนายเลิศล�าหายากยิ่ง ครั้งนี้ขอบคุณที่นายพา ‘ฮาร์บินเจอร์’

กลับมา สร้างคุณูปการให้กับประเทศ ผู้นําหลายท่านต่างรู้สึกขอบใจ นายมาก”

หลี่มู่ตอบ “แค่เรื่องบังเอิญ ผมก็แค่ทําเรื่องที่คนจีนควรจะทําก็ เท่านั้น” เก็บซ่อนคุณูปการและชื่อเสียงไว้ลึก

ฟ่านจูอั๋งพยักหน้า “นายอย่าถ่อมตัวเลย ‘ฮาร์บินเจอร์’ สําหรับ ประเทศ และสําหรับโลกทั้งใบมีความหมายที่สําคัญมาก อีกทั้งก็ทําให้ พวกเราได้รู้ว่า ในห้วงดาราสมุทรเวิ้งว้างยังมีอารยธรรมเช่นนี้อยู่ สําหรับพวกเราเป็นคําเตือน ไม่กล้าคิดเลยว่า หากสํานักผู้วิเศษ วิญญาณนั่นทําได้สําเร็จ โลกจะตกอยู่ในเคราะห์ภัยแบบไหน ”

นี่คือเรื่องจริง

ตอนนั้น หลังจากได้ยินการมีตัวตนของอารยธรรมวิถียุทธ์นอกโลก และแผนร้ายสํานักผู้วิเศษวิญญาณจากพวกซูชั่ว ฝ่ายทหารก็ตื่นตะลึง เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านผู้นําสามสี่ท่านนั้นก็ยังเหงื่อซึมชื้น

ถึงจะบอกว่าโลกค้นหาอารยธรรมนอกโลกมาโดยตลอด แต่ใน ความเป็นจริง ผู้นําระดับสูงและกลุ่มมันสมองที่แท้จริงต่างระมัดระวัง และป้องกันอารยธรรมนอกพิภพ เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่า ค้นหามา หลายสิบปีไม่มีอารยธรรมวิทยาศาสตร์ แต่กลับเป็นอารยธรรมฝึกฝน เทพปีศาจ เตรียมทําลายมนุษย์โลก

หลี่มู่ตอบ “ไม่ใช่แค่สํานักผู้วิเศษวิญญาณเท่านั้น ทั้งเขตดาราเทพ วีรชนและขั้วอํานาจอารยธรรมผ้ ูฝึกฝนในดาราจักรจื่อเวยล้วนมีใจเป็น ปฏิปักษ์กับโลก แต่เพราะในระบบสุริยะจักรวาลมีพลังลึกลับบางอย่าง สกัดกั้นผู้ฝึกฝนพวกนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดในเหล่าผู้ฝึกฝนก็ ไม่อาจเข้ามาได้ มิฉะนั้นล่ะก็ โลกน่ากลัวว่าคงตกอยู่ในขั้นที่ไม่อาจ กลับมารุ่งเรืองได้ไปนานแล้ว”

“อะไรนะ?” ฟ่านจู่อั๋งหน้าเปลี่ยนสี “นี่…เสี่ยวมู่ เรื่องนี้อย่าพูด ล้อเล่นนะ เป็นเรื่องจริงหรือ?”

ซูชั่วและซ่งชางหลินถูกสํานักผู้วิเศษวิญญาณควบคุม เป็นการ สืบค้นความทรงจําเพียงแค่ฝ่ายเดียว คนของสํานักผู้วิเศษวิญญาณรู้ทุก อย่างของพวกเขาได้ แต่พวกเขากลับไม่รู้ข้อมูลของสํานักผู้วิเศษ วิญญาณ นอกเสียจากคนของสํานักผู้วิเศษวิญญาณจงใจจะบอกพวก เขา

ดังนั้น สําหรับข้อมูลเรื่อง ‘นักโทษผู้ผิดบาป’ ‘ดาวต้องโทษ’ ‘สุสานดารา’ อะไรพวกนี้ พวกเขาไม่รู้เลย ผู้นําระดับสูงฝ่ายทหารอย่าง พวกฟ่านจู่อั๋งแน่นอนว่ายิ่งไม่อาจได้รู้

หลี่มู่ก็ไม่ปิดบัง บอกข้อมูลบางอย่างที่ตัวเองตรวจสอบได้กับฟ่าน จู่อั๋ง

เขาหวังว่าข้อมูลพวกนี้จะช่วยดึงพวกผู้นําระดับสูงให้เห็นถึง ความสําคัญและก็ทําให้บรรดาผู้นําของโลกทั้งหลายเริ่มตระหนักถึง ความหมายที่แท้จริงของความอันตรายที่มาจากห้วงดาราสมุทรนอก โลก แต่ไม่ใช่การแย่งชิงบนพื้นที่เล็กน้อยในบ้านของตัวเองโลกใบนี้

ฟ่านจู่อั๋งเป็นผู้ที่เหมาะที่จะบอกกล่าว

ดังนั้นหลี่มู่จึงพูดเรื่องนี้ให้หนักหนาขึ้นอีกนิด

ฟังถึงเนื้อหาข้างหลัง บุคคลอันดับสามแห่งหน่วยสนับสนุน ยุทธศาสตร์ฝ่ายทหารก็หน้าเปลี่ยนสี เหงื่อแตกพลั่ก หลังเย็นยะเยือก เป็นระลอกเหมือนอยู่ในห้องน�าแข็ง

“นี่…เสี่ยวมู่ ที่พูดมานี่จริงหรือ?” ฟ่านจู่อั๋งเหมือนฝันร้าย แม้แต่ หายใจยังยากลําบาก “ทั่วทั้งจักรวาลล้วนเป็นปฏิปักษ์…นี่ ทําไมถึงเป็น แบบนี้?”

หลี่มู่ตอบ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน บรรพชนของพวกเราเหมือนจะจับ สังเกตอะไรได้ ดังนั้นจึงเบิกทางเซียนเอาไว้ เดินทางออกไปนอกโลก ส่วนสําหรับว่าหาทางช่วยได้หรือไม่ก็ยากจะบอกแล้ว”

ฟ่านจู่อั๋งมาหาหลี่มู่ เดิมแค่เพื่อขอให้หลี่มู่ช่วยทางด้านการทหาร เท่านั้น ใครจะรู้ว่ากลับได้ยินข้อมูลอันน่าตื่นตะลึง ไม่รู้ว่าควรจะพูด อะไรไปชั่วขณะหนึ่ง

เขาหันไปมองตามสัญชาตญาณ กลับเป็นซูชั่ว ซ่งชางหลินและซู ฮั่นเหวยทั้งสามคนยืนอยู่อีกด้านหนึ่งมองเขาและหลี่มู่ทั้งสองคนด้วย ใบหน้างุนงง ก็อดอึ้งไปไม่ได้ จากนั้นก็เข้าใจแล้วว่า ทั้งสามคนไม่ได้ยิน บทสนทนาเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าหลี่มู่ใช้กลวิชาอภินิหารสกัดกั้นเสียง

ฟ่านจู่อั๋งถอนหายใจโล่งอก

ข่าวเช่นนี้สําคัญน่าตื่นตะลึงเป็นที่สุด ไม่ควรแพร่งพรายออกไป ง่ายๆ ทั่วทั้งโลกมีคนแค่ไม่กี่คนนั้นรู้ก็พอแล้ว

เรื่องแบบนี้เหมือนกับหนังวันสิ้นโลก ‘2012’ เกี่ยวกับข่าวน�าท่วม โลก มีแค่ผู้นําระดับสูงที่รู้และรวมพลังรับมือก็พอแล้ว หากแพร่งพราย ข่าวไปทั่วโลก เกรงว่าไม่ทันที่มหาอุทกภัยมาเยือน ระบบสังคมที่ มนุษยชาติสร้างขึ้นมาอย่างยากลําบากหลายพันปีก็จะพังทลายลง ความหวาดกลัวและวุ่นวายของวันสิ้นโลก มากพอที่จะทําลายโลกทั้งใบ ก่อนน�าท่วมโลก

“เสี่ยวมู่ พลังของนายมากพอที่จะต่อกรกับผู้ฝึกฝนนอกพิภพพวก นั้นไหม?” ฟ่านจู่อั๋งถาม

หลี่มู่ส่ายหน้า “ผู้ฝึกพลังภายในนอกพิภพแบ่งเป็นสิบสองขั้น ขั้นที่ สองคือทะลวงสวรรค์ กายเนื้อสามารถเดินออกไปจากดวงดาวได้ แต่นี่ ก็เป็นแค่ขั้นแมลงเท่านั้น ในสายตาของผู้ฝึกฝนนอกพิภพก็เป็นแค่

แมลงอ่อนแอไร้ค่า ขอบเขตของผมในตอนนี้ยังไม่นับว่าเป็นขั้นทะลวง สวรรค์เลย เทียบกับเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงพวกนั้นแล้วยังห่างชั้นอีก ไกล”

ฟ่านจู่อั๋งใจหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

“พลังสกัดกั้นในระบบสุริยะจักรวาลจะยืนหยัดต่อไปได้อีกนาน เท่าไหร่” เขาถามขึ้นอีก

หลี่มู่ส่ายหน้า “ไม่รู้ แต่ดูจากร่องรอยบางอย่างแล้ว พลังนี้กําลัง เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ…ใช่แล้ว นายพลฟ่านร่องรอยของพลังฟ้าดินที่เริ่ม ปรากฏขึ้นบนโลก ทางทหารน่าจะเข้าใจดีใช่หรือไม่?”

ฟ่านจู่อั๋งถอนหายใจ “แน่นอน ในอากาศเริ่มมีพลังลึกลับบางอย่าง หล่อเลี้ยงทุกสรรพสิ่ง วิชาในยุทธจักรที่สูญหายไปบางอย่าง ค่อยๆ ปรากฏขึ้นใหม่ในโลก ขั้วอํานาจในยุทธจักรเริ่มเงยหน้าขึ้น ปีนี้รัฐบาลก็ เริ่มจัดระเบียบและดูแลคนในยุทธจักร แต่คนพวกนี้ค่อนข้างพิเศษ จอมยุทธ์ใช้วิชายุทธ์ทําลายความสงบ เผชิญหน้ากับคนเหาะเหิน เดินอากาศได้ หน่วยต่างๆ ของประเทศมากมายยังตั้งตัวไม่ได้ ไม่ใช่แค่ ในประเทศเท่านั้น แต่ทั่วโลกเป็นแบบนี้หมด ยอดฝีมือในยุทธจักร ผู้มี พลังวิเศษ นักเวท และยังมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดบางอย่าง…”

พูดถึงตรงนี้เขาก็พลันตระหนักถึงอะไรได้ จึงลุกพรวดยืนขึ้นมาเอ่ย อย่างตกใจ “เสี่ยวมู่ ความหมายของนายคือ เหตุการณ์ประหลาดพวกนี้ อาจจะเป็นสัญญาณของพลังสกัดกั้นลึกลับในระบบสุริยะจักรวาลนั่น เสื่อมถอย?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา