ในขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้ารอบด้านก็ดังเข้ามา
เห็นองครักษ์ มือปราบ และทหารพลเรือนของทางการเกือบพันคนทะลักเข้ามาจากซอกซอยและกำแพงข้างหลัง พลธนูตั้งแถวล้อมซากพรรคเสินหนงเอาไว้ทั้งหมด
กำลังทหารของอำเภอขาวพิสุทธิ์ปรากฏตัวแล้ว
สามคนที่เป็นหัวหน้ายืนอยู่ใต้กิ่งหลิวที่หมิงเยวี่ยเด็กน้อยผู้โง่เขลาห้อยอยู่ ได้แก่นายทะเบียนเฝิงหยวนซิง หัวหน้าองครักษ์หม่าจวินอู่ และเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง
คนในยุทธจักรบางคนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไฉนคนของทางการจึงมาร่วมกรณีพิพาทของยุทธจักรด้วย?
แน่นอน มีบางคนใบหน้าปรากฏแววดูถูก
ทหารเล็กน้อยเพียงเท่านี้คิดจะล้อมยอดฝีมือในยุทธจักรมากมายขนาดนั้น ล้อเล่นหรืออย่างไร?
หลี่มู่บิดขี้เกียจอย่างเหนื่อยหน่าย เดินช้าๆ ไปตามบันไดข้างเวทีประลอง ขึ้นเวทีไปอย่างเนิบช้าทีละก้าวๆ
“แนะนำตัวสักหน่อย ข้าน้อยหลี่มู่ ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์”
หลี่มู่รับสายตารอบข้างนับไม่ถ้วน มือหนึ่งทาบอก แสดงมารยาทตามแบบฉบับสุภาพบุรุษของดาวโลก ฉีกยิ้มเล็กน้อย ฟันขาวสะอาดสะท้อนแสงวาววับภายใต้แสงอาทิตย์ ราวกับกริชคมกริบแถวหนึ่ง
ฝูงชนแตกตื่นฮือฮาอีกทันที
ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่ ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว?
ที่แท้เป็นแค่เด็กหนุ่มอย่างนั้นรึ?
เขาคิดจะทำอะไร?
หลี่มู่มองไปรอบๆ พอใจกับปฏิกิริยาของทุกคนมาก
ปรากฏตัวขึ้นในสถานการณ์ที่ทุกคนจับจ้อง เผชิญกับสายตาตื่นตะลึงและหวาดกลัวนับไม่ถ้วน…ฮ่าๆ นี่สิถึงจะเป็นวิธีออกโรงและสิ่งที่พระเอกควรได้รับ
“ที่แท้คือขุนนางเมืองหลี่นี่เอง เสียมารยาทแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าใต้เท้าหลี่ก่อกวนการประลองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ผู้ชี้ขาดของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงประสานมือทำความเคารพ ปากบอกเสียมารยาทแล้ว แต่บนใบหน้ากลับไม่มีความเคารพสักเท่าใด
พูดตามตรง สำหรับคนระดับเถี่ยเจิ้นตงผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรในยุทธภพทิศพายัพหลายสิบปี ขุนนางเมืองคนหนึ่งไม่ค่อยอยู่ในสายตาของเขานัก
หลี่มู่หัวเราะ “ความหมายของข้าง่ายมาก พวกเจ้าไม่ได้รับคำอนุญาตจากข้า มารวมตัวกันในอำเภอของข้าอย่างผิดกฎหมาย ทั้งยังก่อเหตุจลาจล…ตามกฎหมายของจักรวรรดิ จะต้องให้คำตอบกับข้า”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เสียงหัวเราะก็ดังสนั่นรอบด้านอย่างอดไว้ไม่ไหวอีก
คนในยุทธจักรมากมายหัวเราะขึ้นมา
ใบหน้าแก่ชราของเถี่ยเจิ้นตงก็ปรากฏรอยยิ้มดูถูกที่ไม่คิดจะเก็บซ่อนแม้แต่น้อย แล้วจึงพูดขึ้น “ไม่ทราบว่าใต้เท้าอยากได้คำตอบอะไรรึ?”
“เรื่องเล็กน้อย” หลี่มู่เหมือนไม่ได้ยินคำเสียดสีของอีกฝ่าย ยิ้มสดใสกว่าเดิม “ง่ายมาก เชิญพวกท่านไปสงบสติอารมณ์ในคุกของที่ว่าการสักหน่อย แล้วค่อยรายงานเรื่องที่ตนเองกระทำผิดมาให้ชัดเจนทีละคน รับโทษไปตามกฎของจักรวรรดิก็พอแล้ว ข้าคนนี้ยุติธรรมนัก ไม่มีทางทำเรื่องจงใจข่มเหงพวกท่านเด็ดขาด”
ยังพูดไม่ทันจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากรอบเวทีประลองอีก
สายตาของบางคนที่มองหลี่มู่ราวกับมองคนปัญญาอ่อน
‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินที่ยืนอยู่บนเวทีอดแค่นหัวเราะไม่ได้ “ตะลอนทั่วยุทธจักรพายัพมายี่สิบปี ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับข้าเช่นนี้ ต่อให้เป็นเจ้าเมืองฉางอันก็ไม่มีทางพูดว่าให้ข้าเข้าไปสงบสติอารมณ์ในคุก…ผู้เยาว์ เจ้าเป็นคนแรก คงไม่ได้เสียสติไปแล้วกระมัง คิดจะให้ข้าเข้าคุก เจ้าอาศัยอะไรมิทราบ?”
หลี่มู่ไม่โกรธ “แน่นอนว่าอาศัยกฎหมายของจักรวรรดิ อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนที่พูดจาด้วยเหตุผล ไม่มีทางเที่ยวซี้ซั้วลงมือโดยไม่มีหลักฐานเด็ดขาด”
ข้างล่างมีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง
ไร้เดียงสา
นี่เป็นคำวิจารณ์แรกที่พวกเขามีให้หลี่มู่
ทางการสามารถจัดการทุกเรื่องได้หรือ?
นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานนมมาแล้ว
เหล่าชาวยุทธ์กำลังดูเรื่องสนุกๆ
“กฎหมายจักรวรรดิ?” ซุนซินส่ายหน้าเชิงล้อเลียน “นี่ยังไม่พอ”
“โอ้?” หลี่มู่ขอคำชี้แนะอย่างจริงจัง “ยังขาดอะไรอีก?”
‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินมองไปรอบด้าน
เขามองวงล้อมจากทหารเกือบพันคนเสมือนมองข้าวของที่ไร้ประโยชน์
สุดท้ายซุนซินเบนสายตากลับมา ครั้นเห็นท่าทางของหลี่มู่ก็ยิ่งเวทนาและขบขัน “กฎหมายทรงอำนาจเพียงใดก็ต้องมีคนเป็นผู้ใช้ และการบังคับใช้กฎหมายต้องมีพลังที่มากพอ อาศัยพวกอัปลักษณ์ที่เจ้าพามายังไม่พอหรอก สิ่งที่เจ้าขาดคือพลัง”
หลายปีมานี้จักรวรรดิต้าฉินปกครองล้มเหลว อำนาจของขุนนางลดลง สำนักตรวจสอบที่มีไว้ควบคุมคนในยุทธภพโดยเฉพาะก็ขัดแย้งภายในไม่หยุด ทำให้ยอดฝีมือชาวยุทธ์ทั้งหลายในจักรวรรดิต้าฉินยิ่งลำพองขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะช่วงประมาณสิบปีนี้ เหตุการณ์ที่ยุทธจักรท้าทายอำนาจราชสำนักเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก
ชาวยุทธ์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าจักรวรรดิต้าฉินเกิดการแย่งชิงบ่อยครั้ง จนเหมือนจะเสียอำนาจนี้ไปแล้ว
“อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจผิดแล้ว” หลี่มู่พูดอย่างจริงใจยิ่ง
“เข้าใจผิดอะไร?” ท่าทีของ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินดูถูกและหยิ่งทะนง สายตาไม่จริงจัง
เขาอยากรู้ว่าขุนนางเมืองน้อยคนนี้จะเล่นลิ้นหาทางลงให้ตัวเองอย่างไร
หลี่มู่พูดขึ้น “มือปราบกับองครักษ์ของอำเภอไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ แต่มาเพื่อเก็บกวาด”
“เก็บกวาด?” ซุนซินอึ้งไป
หลี่มู่พยักหน้าคล้ายเรื่องมันแน่นอนอยู่แล้ว กล่าวว่า “ใช่แล้วๆ เพราะการบังคับใช้กฎหมายที่แท้จริง มีแค่ไอ้นี่ก็พอแล้ว” เขาโบกหมัดขวาของตัวเองไปมา “ท่านผู้อาวุโส หมัดขนาดหม้อดินมากพอจะบังคับใช้กฎหมายจักรวรรดิหรือไม่?”
“เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่อย่างนั้นรึ?” สีหน้าของ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินเย็นชา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา