ตอน บทที่ 57 ถึงเวลาแล้ว จาก จอมศาสตราพลิกดารา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 57 ถึงเวลาแล้ว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
สุดท้ายก็สู้กันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
หนามของแส้งูทองรัดทั้งร่างชิวจื่อหานราวตะแกรง ส่วนไอเย็นก็แทรกเข้าสู่ร่างของหลี่เจิ้ง ทำให้เขาโดนพิษน้ำแข็ง สูญเสียกำลังต่อสู้เช่นเดียวกัน
ยอดฝีมือทั้งสองถูกคนหามลงเวทีประลองไป
ศึกนัดนี้สรุปแล้วใครเป็นผู้แพ้ใครเป็นผู้ชนะ พรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์เกิดข้อขัดแย้งกันอีกครั้ง
สนามประลองมีเสียงเอะอะโวยวายเหมือนตลาดสด
ผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่ายข้างล่างเวทีถกเถียงกันอย่างดุเดือด จวนเจียนจะลงไม้ลงมือเต็มที ผู้นำระดับสูงของสองสำนักที่อยู่บนเวทีสังเกตการณ์ยิ่งโต้คารมไปมา สุดท้ายก็ถูไถถือว่าเสมอกันไป
จากนั้น ศึกนัดต่อไปบนเวทีประลองก็เริ่มขึ้นอีก
ครั้งนี้เป็น ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินจากสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ประลองกับ ‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลงยอดฝีมือพันธมิตรของพรรคมังกรฟ้า
การต่อสู้ดุเดือดยิ่งนัก
กำลังภายในแผ่ระลอกปั่นป่วน วายุกระบี่กวาดไปทั่ว
รอบเวทีประลองในระยะกว่าหกจั้งมีเพียงแค่หลี่มู่ หมิงเยวี่ย ขอทานเฒ่า และสุนัขอ้วนสีน้ำตาลลายขาวเท่านั้น
วีรบุรุษผู้กล้าคนอื่นๆ จากแต่ละทิศต่างกลัวควันหลงจากการต่อสู้กระเทือนมาถึง จึงหลบไปในอยู่ระยะปลอดภัย
การประลองรอบนี้ดุเดือดกว่าปกติ
บางทีอาจเป็นเพราะการประลองหลายรอบก่อนหน้านี้กระตุ้นให้ทั้งสองฝั่งโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น ‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลงหรือ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซิน เมื่อขึ้นมาก็ลงมือสุดกำลัง ไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อย ออกกระบวนท่าสังหารมาติดๆ
ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นรวมจิต เมื่อสู้กันอย่างเต็มที่ ผิวกายต่างมีไอกำลังภายในบางๆ ลอยอวล
ยอดฝีมือในยุทธภพที่ชมการต่อสู้รอบเวทีดูกันอย่างออกรสออกชาติ
“สุดยอด!”
“ยอดเยี่ยม”
“ร้ายกาจยิ่งนัก”
“ ‘มังกรเมฆาตวัดกรงเล็บ’ กระบวนท่านี้ช่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติเสียจริงๆ”
“ตวัดแตะสามชุ่น พู่กันดุจกระบี่ ปราณขาดสิ้นมัจจุราชแย้มสรวล…พู่กันจารึกของผู้อาวุโสซุนซินช่างน่ากลัวนัก”
มีคนเอ่ยชื่นชมเสียงดัง
คนในยุทธจักรชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน มากกว่าครึ่งเป็นเพราะสาเหตุนี้
ชมการต่อสู้ของยอดฝีมือ ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะวันหลังจะได้เอาไว้วางมาด อีกครึ่งหนึ่งคือจะได้เปิดหูเปิดตาเรียนรู้อะไรบ้าง
เสียงร้องให้กำลังใจเหล่านั้นมีทั้งผู้ชื่นชอบการต่อสู้จริงๆ และมีทั้งผู้มองเห็นจุดที่เยี่ยมยอดจนอดใจไม่ไหว
ส่วนผู้ที่จงใจอ้างอิงคำในตำรามาเอ่ยชมเสียงดัง ก็ใช่จะเป็นผู้มีสายตาเฉียบแหลมอย่างแท้จริง อาจเป็น ‘ยอดฝีมือปากกล้า’ จงใจใช้วิธีที่ดูผิวเผินเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แสดงให้คนอื่นเห็นความรู้อันล้ำลึกและสายตาที่เฉียบแหลมของตนเพื่อให้ได้มาซึ่งคำชมเชยและชื่อเสียง
ยุทธจักร แท้จริงแล้วก็คือสถานที่เสาะหาลาภยศสรรเสริญ
แต่ว่าอย่างไรเสีย ‘พู่กันพิพากษา’ และ ‘กระบี่มังกรเมฆา’ ล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นยอดที่มีชื่อเสียงมานานนมในยุทธจักรทิศพายัพ ในสายตาของชาวยุทธ์ทั้งหลาย การต่อสู้นี้น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ เสียงร้องตื่นเต้นกับคำชมเชยดังขึ้นเป็นระลอก
มีเพียงหลี่มู่เท่านั้นที่ยิ่งดูสีหน้าก็ยิ่งประหลาด
‘เข้าใจอะไรกันผิดรึเปล่าเนี่ย นี่นับว่าเป็นยอดฝีมือมีชื่อแล้วหรือ?’
ใต้เท้าขุนนางเมืองรู้สึกผิดคาดเป็นอย่างมาก
เพราะไม่ว่าจะเป็น ‘เพลงกระบี่มังกรเมฆาผงาด’ ของ ‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลง หรือ ‘สามสิบหกท่าลมกรดฝนกระหน่ำทำลายปราณ’ ของ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซิน ในสายตาของเขาหนึ่งคือเหมือนภาพช้าอ่อนปวกเปียกไร้กำลัง สองคือจุดอ่อนระหว่างการเปลี่ยนท่ามีมากมาย…ไม่ได้ร้ายกาจเหมือนดังที่เหล่ายอดฝีมือในยุทธจักรรอบข้างคุยเอาไว้ และก็ไม่เหมือนกับที่ตัวเขาวาดหวังเอาไว้ด้วย
หลี่มู่มาถึงเวทีประลอง จุดประสงค์ครึ่งหนึ่งคือหวังว่าจะมาเรียนรู้และสังเกต
เขาอยากมาดูสักหน่อยว่า ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งจนขึ้นประลองได้จากสำนักเช่นพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ซึ่งมีชื่อเสียงมาหลายสิบปีในยุทธจักรแถบนี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงใด
แรกเริ่มเขายังวาดหวังเอาไว้สูงมาก
หลี่มู่หวังว่าเขาจะสามารถลักจำการเปลี่ยนท่าและหลักการได้มากยิ่งขึ้นจากการประลองกันของยอดฝีมือเหล่านี้
สิ่งที่เขาขาดมากที่สุดในปัจจุบันก็คือของพวกนี้
ทว่ายิ่งดูยิ่งผิดหวัง
ยอดฝีมืออย่าง ‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลงและ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินที่สู้กันได้ดุเดือดบนเวที ดูไปแล้วอันตรายเป็นอย่างยิ่ง แต่เขารู้สึกเหมือนว่าต่อให้ใช้มือข้างเดียว ไม่สิ แค่นิ้วเดียวก็สามารถบดขยี้คนทั้งสองได้
ในสายตาของหลี่มู่ การต่อสู้ศึกนี้ไม่ต่างจากเด็กเล่นขายของ
นี่ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดจริงๆ
ในความทรงจำของหลี่มู่ ยอดฝีมือในยุทธจักรที่เขาเคยเห็น ไม่ต้องพูดถึง ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียว ต่อให้เป็นจตุรเทพของพรรคเสินหนงหรือพวก ‘ตัวประหลาด’ คุณชายหลี่ปิงก่อนหน้านี้ ก็ยังจะแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นรวมจิตทั้งสองที่สู้กันอยู่บนเวทีในตอนนี้เสียอีก
ทำไมถึงมีความรู้สึกแบบนี้ได้?
เขารู้สึกแปลกใจนัก
“ซัดมันให้ตายเลย”
หมิงเยวี่ยน้อยกระโดดหยองแหยงเหมือนกระต่าย คำพูดยุแยงเดิมๆ ดังก้องไปรอบเวทีประลอง
ลูกศิษย์รุ่นหนึ่งของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ที่เพิ่งกลับมายังเวทีสังเกตการณ์หน้าบึ้ง
อะไรกัน?
เด็กหนุ่มคนนั้นทำไมยังไม่พาแม่เด็กสมองมีปัญหานี่ออกไปอีก?
ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ?
ความโกรธในใจของศิษย์รุ่นหนึ่งทะลักล้น หมุนตัวชักดาบยาวที่เอวออกมา เดินไปยังข้างล่างเวทีประลองด้วยใบหน้าเหี้ยมโหด
เขาตรงมายังเบื้องหน้าของทั้งสองด้วยโทสะที่คุกรุ่น ก่อนจะยกดาบขึ้นชี้ “ยังก่อความวุ่นวายที่นี่อีก พวกเจ้าอยากตายแล้วกระมัง? ท่าทางไม่สั่งสอนอะไรสักหน่อย พวกเจ้าก็ไม่รู้ว่า…”
หลี่มู่คีบปลายดาบ หัวเราะแล้วเอ่ยตัดบทเขาทันที “ถอยไปหน่อย เจ้าบังข้าหมดแล้ว”
“เจ้า…” ลูกศิษย์รุ่นหนึ่งเห็นอีกฝ่ายไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ซ้ำยังตอบโต้ ในใจก็บันดาลโทสะ ข้อมือออกแรงคิดอยากจะฟันมือเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักดีชั่วทิ้งเสีย
ใครจะรู้ ไม่ว่าเขาจะออกแรงอย่างไร ดาบก็ไม่ขยับเลยสักนิด เสมือนหลอมไปในฝ่ามือของเด็กหนุ่ม
“ดูบ้าอะไรกัน น่าเบื่อจะตาย” หลี่มู่ยกมือขึ้นมอบมะเหงกให้โลลิน้อยคนโง่ไปอีกทีหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้น “รอให้ข้าแย่งตำราเคล็ดวิชาจากคนพวกนี้มาได้ก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าก็ฝึกเอาเอง ฝึกตามใจเลย…”
ขอทานเฒ่าที่อยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ปากยิ่งอ้ากว้างกว่าเดิม
แม้แต่สุนัขอ้วนสีน้ำตาลลายขาวที่เดิมเคี้ยวกระดูกไก่อยู่ข้างๆ อย่างสงบนิ่งก็ยังอึ้งมองหลี่มู่
“ท่านเป็นใคร กล้ามาก่อกวนการต่อสู้บนเวทีประลอง?”
ผู้อาวุโสทรงอำนาจที่มีเคราเหลืองผมเทาหรือ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงยืนขึ้น สายตาคมกริบดั่งดาบจ้องมายังร่างของหลี่มู่พร้อมตะคอกอย่างดุดัน
เมื่อครู่เรื่องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยอดฝีมือบนเวทีสังเกตการณ์ยังตั้งสติได้
“เด็กสามหาวที่ไหนกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่?”
“จับมันไว้”
“ฟันมันให้ตายเสีย”
เหล่าศิษย์สองสำนักใหญ่ที่โกรธแค้นตวาดลั่น
สายตาของจอมยุทธ์ยอดฝีมือที่ชมอยู่รอบๆ ทั้งหมดในตอนนี้ก็มองหลี่มู่เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ มีคนสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงพื้นที่ว่างโล่งข้างล่างเวทีต่อสู้คนนี้แล้ว ยังคิดว่าเป็นพวกบุ่มบ่ามที่จงใจทำตัวเด่นเสียอีก ไม่คิดว่าเขาจะมุทะลุได้ถึงขนาดนี้ กล้ามาก่อความวุ่นวายในสถานที่เช่นนี้ได้ เขามีความเป็นมาอย่างไรกันแน่?
ลูกศิษย์ทั้งสองสำนักชักดาบออกจากฝัก ล้อมหลี่มู่เอาไว้
อากาศเย็นเยียบชวนขนลุก
“เจ้าหนุ่ม เจ้าหาเรื่องเดือดร้อนครั้งใหญ่เข้าแล้ว” ขอทานเฒ่าเอ่ยปากเตือน
หลี่มู่บิดขี้เกียจ หันกลับมามองขอทานเฒ่าแวบหนึ่ง ก่อนยิ้มเอ่ยอย่างวางท่าเป็นที่สุด “ไม่ต้องกลัว ข้าเก่งกว่าพวกเขารวมกันเสียอีก”
ขอทานเฒ่าขยิบตาพลางขยับออกไปข้างๆ “ข้าไม่ได้กลัว แต่ผู้เยาว์เจ้าอยู่ห่างๆ จากข้าหน่อยได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะเข้าใจว่าข้ารู้จักกับเจ้า”
‘โอ้โห ตาแก่นี่’
เขาคิดไม่ถึงว่าขอทานเฒ่าจะแอบร้าย ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด
“ผู้อาวุโสอย่าได้กลัวไป ในเมื่อพวกเราเป็นสหายกัน เช่นนั้นวันนี้ข้าจะคุ้มครองท่านอย่างแน่นอน ดูซิว่าใครจะกล้าทำร้ายท่าน” หลี่มู่กวาดสายตามองเหล่ายอดฝีมือของสองสำนักที่ล้อมเข้ามา ตั้งใจพูดเสียงดัง
‘โอ้โห เจ้าเด็กเวรนี่’
ขอทานเฒ่าก็คิดไม่ถึงว่าหลี่มู่จะหน้าไม่อายถึงเพียงนี้ จงใจทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าทั้งสองคนคุ้นเคยกันดี ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ตอนนี้โคลนเหลืองเปื้อนกางเกง ไม่ซวยก็ซวยด้วยแล้ว
เด็กน้อยซื่อบื้อหมิงเยวี่ยเหล่ตามองขอทานเฒ่า หัวเราะสะใจในความทุกข์คนอื่น
หลี่มู่จับแขนโลลิน้อย เหวี่ยงควงรอบหนึ่งแล้วโยนออกไปเหมือนขว้างจักร
“เอ๊ะ? แงๆๆ…” หมิงเยวี่ยลอยคว้างกลางอากาศถึงจะตั้งสติได้ นางร้องจ๊ากเสียงดัง สุดท้ายก็ลอยข้ามหลายร้อยคนนอกสนามประลองมาร่วงอยู่บนกิ่งต้นหลิวต้นหนึ่ง
“เด็กบ้า อย่าหาเรื่องเดือดร้อนเพิ่มให้ข้าสิ อยู่ตรงนั้นนิ่งๆ อย่าเที่ยววิ่งซนเสียล่ะ”
……………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา