ในตอนแรกเหยียนฮูหยินเป็นฝ่ายอาสาช่วยพวกเขาล้างหม้อและชามก่อน ต่อมาผู้อาวุโสเหยียนก็ได้เข้ามาช่วยพวกเขาลากเกวียนระหว่างเดินทาง
ผู้อาวุโสเหยียนเป็นเพียงข้าราชการพลเรือน ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแรงสู้ซูจิ่งสิงไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย ซึ่งต้องมีพละกำลังไม่มากก็น้อย
พอมีเขาเข้ามาช่วย นางหยางและซูจื่อชิงก็เบาลงไปไม่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้กู้หว่านเยว่จึงไม่ต้องกังวลว่าจะลื่นโคลนที่เกิดจากหลังฝนตก หากเป็นเช่นนั้นอาจจะทำให้การเดินทางล่าช้าจนได้รับการตำหนิจากนักการในศาลาว่าการ
อีกทั้งนางยังพบว่าผู้อาวุโสเหยียนและซูจิ่งสิงมักจะฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครเห็นแอบกระซิบกระซาบกัน
เห็นได้ชัดว่ากู้หว่านเยว่ตั้งใจช่วยชีวิตเหยียนซือหยวน แต่ก็ยังเข้าไปสานสัมพันธ์กับผู้อาวุโสเหยียนและซูจิ่งสิงโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ผู้อาวุโสเหยียนเคยเป็นเพื่อนกับเจ้ามาก่อนใช่หรือไม่?”
ระหว่างแวะพักกลางทาง กู้หว่านเยว่ได้ยื่นกระติกน้ำให้ซูจิ่งสิงพร้อมกับถามด้วยความอยากรู้
สิ้นสุดคำถามนางก็ส่ายหน้าอีกครั้ง
หากทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันจริง ๆ คงไม่ต้องรอให้กู้หว่านเยว่คอยเป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ ให้พวกเขาติดต่อกันอย่างลับ ๆ เช่นนี้
ซูจิ่งสิงไม่ปิดบังนาง “ข้าอยู่เฝ้าชายแดนมาตลอด ส่วนเขาเป็นข้าราชการพลเรือน ข้าเป็นผู้บังคับบัญชา ข้าแค่เคยได้ยินมาก็เท่านั้น”
ผู้อาวุโสเหยียนคนนี้มีชื่อว่าเหยียนเหวินจิ้ง เขามีตำแหน่งเป็นจอหงวนที่ผ่านการสอบเคอจวี่ระดับล่าง เขาปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริตและมีความซื่อตรงต่อหน้าที่ของตัวเอง
แต่เพราะความซื่อตรงเกินไปของเขา จึงมักทัดทานเจตนารมณ์ของฮ่องเต้อยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะกล่าวด้วยความหวังดี แต่ก็เป็นคำกล่าวที่ไม่น่าฟังนัก
สุดท้ายก็สร้างความขุ่นเคืองให้ฮ่องเต้ ทรงมีรับสั่งเนรเทศเขาทั้งตระกูลออกจากเมือง
ครั้นเอ่ยถึงทั้งตระกูล พ่อแม่ของเหยียนเหวินจิ้งตายไปหมดแล้ว เขาอาศัยเงินของตระกูลช่วยส่งเสียจนเขาได้เรียนหนังสือ ดังนั้นคนที่โดนเนรเทศจึงมีแค่เหยียนเหวินจิ้ง ลูกและภรรยาของเขาสามคนเท่านั้น
กู้หว่านเยว่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ ก่อนจะกล่าวว่า “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าผู้อาวุโสเหยียนคงจะเป็นข้าราชการที่ดี เขาเป็นเพียงไข่มุกที่อับแสง หลงตามรับใช้ฮ่องเต้ผิดคนเท่านั้น”
ซูจิ่งสิงกล่าว “.....จะว่าแบบนี้ก็ได้” นางก็พูดตรงไปตรงมาดี
แต่ความตรงไปตรงมาของแม่นาง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเช่นนี้
“ข้าเข้าใจแล้ว” กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางคิดว่าเหยียนเหวินจิ้งจะต้องเป็นประโยชน์กับซูจิ่งสิงแน่นอน การเดินทางครั้งต่อไปพวกเขาคงจะช่วยเหลือสกุลเหยียนได้
ทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาของบ้านใหญ่สกุลซู ทำให้พวกเขาอดบ่นอย่างไม่พอใจไม่ได้
“กู้หว่านเยว่คนนี้ชักจะไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว ยอมช่วยคนอื่น แต่ไม่ช่วยครอบครัวตัวเอง!”
หลังจากตากฝนมาตลอดทั้งคืน นอกจากความเหนื่อยล้าแล้ว บ้านใหญ่สกุลซูก็พากันป่วยไม่มากก็น้อย
โดยเฉพาะซูหัวหลิน บาดแผลตามตัวของเขาโดนฝนทั้งคืน แล้วก็ต้องมาเจอกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว ไม่นานบาดแผลเหล่านั้นก็เริ่มเน่าและอักเสบ
ผ้าพันแผลที่เสียดสีไปกับแผลทำให้เข้าปวดร้าวจนต้องร้องโอดครวญ เพียงแต่ครึ่งวัน พลังชีวิตของเขาก็อ่อนกำลังลง
นางเฉียนกลัวว่าเขาจะไม่รอด “หากมียาดีก็คงจะดี ทำไมพวกเจ้าไม่ไปซื้อยา?”
“ข้าเห็นว่ากู้หว่านเยว่มียาดี นางไม่เพียงแต่จะคอยใส่ยาให้พี่ชาย ทั้งยังยกยานั้นให้เด็กน้อยของสกุลเหยียนด้วย”
หรือว่าข้าต้องไปขอร้องนาง แต่เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ นางจะเมินเฉยต่อชีวิตคนได้อย่างไร
นัยน์ตาของหลี่ซือซือเปล่งประกาย นางไม่มีทางยอมโดนด่าคนเดียว นางจะต้องลากกู้หว่านเยว่จมน้ำไปด้วยกัน
นางเฉียนเบนสายตามามองที่ห่อกระดาษของกู้หว่านเยว่ แต่ทว่าเพราะเราทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง นางรู้ดีว่ากู้หว่านเยว่ไม่มีทางตัดใจยกสมุนไพรให้พวกเขาอย่างแน่นอน
ขณะที่นางกำลังลังเลว่าควรทำอย่างไรนั้น
“เราสละเงินไปซื้อยากันเถอะ”
ซูเช่อกล่าวแนะนำ “ในมือของนักการในศาลาว่าการจะต้องมีสมุนไพรรักษาคน พวกเขาต้องคุมตัวนักโทษ จะต้องเชี่ยวชาญด้านนี้....”
พวกเขาอยากได้สมุนไพรจากมือของกู้หว่านเยว่โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว แต่ทว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้
ซูเช่อยื่นข้อเสนอ นี่อาจเป็นวิธีการที่ดีที่สุดก็ได้
พวกเขาตัดสินใจไปซื้อสมุนไพรปรุงยาจากนักการในศาลาว่าการ อาจจะช่วยชีวิตของซูหัวหลินได้



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาแพทย์พลิกชะตา
ใช้บัตรเติมเงินเอไอเอสไม่ได้เหรอคะ...
เติมเงินด้วยบัตรเติมเงินเอไอเอสไม่ได้เหรอคะ...