“ซูหว่าน ในที่สุดเจ้าก็มาหาข้าเสียที”
ยังไม่ทันเห็นหน้าก็ส่งเสียงมาก่อน ซูอวิ๋นผลักประตูเข้ามาพร้อมกับกลิ่นควันผสมน้ำมันที่ติดตัวมาด้วย
เขากำลังกระหายน้ำอยู่พอดี จึงทิ้งตัวลงนั่งอย่างไม่เกรงใจ แล้วเริ่มรินชาดื่มรวดเดียวสามจอก
ซูหว่านเห็นดังนั้นจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขาซับปาก
“ช้าหน่อยพี่สี่ ท่านกระหายน้ำถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ซูอวิ๋นดื่มชาเข้าไปแล้วถอนหายใจอย่างสบาย
“เจ้าไม่รู้หรอกว่ากิจการของโรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซีนั้นดีเป็นเทน้ำเทท่าเพียงใด ในครัวยุ่งกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ข้าเองก็เพิ่งจะรู้ว่าหัวไชเท้าหนึ่งหัว สามารถนำมาปรุงอาหารได้มากมายหลายวิธี แถมยังแกะสลักเป็นลวดลายได้ด้วย เคยได้ยินเรื่องการหั่นเต้าหู้เป็นเส้นไหมหรือไม่?”
การที่ซูอวิ๋นได้มาอยู่ที่โรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซีแห่งนี้ ถือว่าช่วยเปิดหูเปิดตาให้เขาได้มากทีเดียว
ไม่เรียนก็ไม่รู้ เรียนแล้วถึงกับตกใจ ที่แท้ความรู้ที่เขามีนั้นเป็นเพียงเปลือกนอก สิ่งที่คนเป็นพ่อครัวต้องเรียนรู้นั้นยังมีอีกมากมายนัก
“แล้วพี่สี่เรียนไปถึงไหนแล้วเจ้าคะ?” การแกะสลักกับการทำเต้าหู้เส้นไหมเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือชั้นสูง ซูหว่านเองก็รู้สึกทึ่งในความสามารถนี้เช่นกัน หากเป็นในยุคปัจจุบันต้องดังเป็นพลุแตกแน่นอน
“การแกะสลักนั้นไม่ยาก ข้าเริ่มเรียนแล้ว ส่แต่การหั่นเต้าหู้เป็นเส้นไหมนั้นช่างยากจริง ๆ”
ซูอวิ๋นขมวดคิ้ว ด้วยพรสวรรค์ของเขา การเรียนแกะสลักหัวไชเท้าไม่ใช่เรื่องยากเลย เรียนไปไม่กี่วันก็พอจะแกะให้เป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ละเอียดประณีตพอ
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ค่อยเป็นค่อยไปไป เรียนรู้ทักษะเหล่านี้ให้หมด เมื่อถึงวันที่ท่านเปิดภัตตาคารของตัวเอง จะได้ดึงดูดลูกค้าเอาไว้ได้!”
ซูหว่านยังคงให้กำลังใจเขาเช่นเคย
“ข้ารู้แล้ว ข้าจะพยายามนะซูหว่าน จะต้องเรียนให้สำเร็จเป็นหน้าเป็นตาให้เจ้าให้ได้”
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณซูหว่าน หากไม่ใช่นางที่พาเขามาที่หัวเมือง เขาจะได้รับโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร?
ตามเนื้อเรื่องเดิม เขาหาเงินไปพลางเรียนรู้ไปพลาง เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ สุดท้ายแม้จะเปิดภัตตาคารของตัวเองได้และมีชื่อเสียงด้านรสชาติที่อร่อย แต่ก็ยังขาดความประณีตงดงาม
พี่น้องคุยกันถึงสวัสดิการที่ซูอวิ๋นได้รับจากโรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซี จึงได้รู้ว่าเขาที่เป็นเพียงคนครัว กลับได้พักในห้องส่วนตัวที่หรูหรา
โรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซีมีหอพักพนักงานโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นบ้านสี่ลาน ห้องหนึ่งพักสี่คน ตอนที่ซูอวิ๋นมาถึง ห้องอื่น ๆ เต็มหมดแล้ว เขาจึงได้อยู่คนเดียวหนึ่งห้อง
อาหารทยอยถูกยกขึ้นมาจนเกือบเต็มโต๊ะ ซูหว่านจำได้ว่านางบอกไปแค่ว่าให้ยกมาสักสองสามอย่างก็พอ นี่มันแทบจะกลายเป็นโต๊ะเสวยจักรพรรดิไปแล้ว
“พี่ชาย ไม่ต้องยกมาเพิ่มแล้ว มากกว่านี้คงทานไม่หมดแล้ว” ซูหว่านเอ่ยห้ามพนักงานหนุ่มที่กำลังยกอาหารมา
ต้องยอมรับเลยว่าบริการของที่นี่นั้นยอดเยี่ยมไม่มีใครเทียบ ทั้งอาหารก็เลิศรส ไม่น่าแปลกใจเลยที่กิจการของโรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซีจะรุ่งเรืองถึงเพียงนี้
เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว เห็นว่าพี่สี่ของนางอยู่ที่โรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซีอย่างสุขสบาย ทั้งยังเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดีอีกด้วย ซูหว่านจึงไม่มีสิ่งใดให้ต้องเป็นห่วงอีก
หลังจากกินอาหารเสร็จ เมื่อไปชำระเงินที่หน้าโรงเตี๊ยม ซูหว่านเอ่ยถามว่ามื้อนี้ราคาเท่าใด แต่ผู้จัดการลั่วกลับไม่ยอมรับเงินของนางเด็ดขาด
“แม่นางซู ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว คิดเสียว่าที่นี่คือบ้านของท่าน มาทานข้าวที่บ้านตนเองจะให้จ่ายเงินได้อย่างไร หากคุณชายรู้เข้า ข้าคงต้องสิ้นสุดหน้าที่ผู้จัดการไว้เพียงเท่านี้”
ให้คิดเสียว่าเป็นบ้านของตนเองอย่างนั้นรึ ซูหว่านคิดในใจ นางไม่กล้าอาจเอื้อมถึงเพียงนั้นหรอก
โรงเตี๊ยมใหญ่โตปานนี้ ให้นางทำตัวตามสบายเหมือนเป็นบ้านของตนเอง คงจะเสียมารยาทเกินไป
“ไม่ได้เจ้าค่ะ ยังไงก็ต้องจ่าย หากไม่จ่ายจะไม่กลายเป็นกินแล้วไม่จ่ายหรอกหรือ?
ซูหว่านยืนกรานที่จะจ่าย แต่ผู้จัดการลั่วก็ไม่อาจรับเงินของนางได้ จึงบอกราคาไปส่ง ๆ ว่ามื้อนี้คิดเพียงสามตำลึงเท่านั้น
เมื่อเขาบอกว่าสามตำลึง ซูหว่านก็จ่ายไปสามตำลึง ที่สำคัญคือไม่มีใบเสร็จ หากมีใบเสร็จเหมือนในยุคปัจจุบัน นางก็คงจะได้รู้ว่ามื้อนี้ราคาเท่าใดกันแน่
หลังจากจ่ายเงินแล้ว ผู้จัดการลั่วก็เดินมาส่งซูหว่านถึงประตูด้วยตนเอง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...