รอจนกระทั่งสีทั้งหมดถูกเติมเต็มโดยสมบูรณ์ พวกเขาถึงได้รู้ว่าซูอี้มีความเชี่ยวชาญในการใช้สีเป็นอย่างมาก เเม้กระทั่งสีผิวของคน ก็สามารถรังสรรค์ออกมาได้
ซูหว่านงดงามอยู่แล้ว ราวกับเป็นพรีเซ็นเตอร์ที่มีชีวิต เมื่อภาพวาดเสร็จสมบูรณ์ ทุกคนก็เริ่มชื่นชม
“เหมือนมากอ่ะ เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว เก่งเกินไปเเล้วจริงๆ!”
“นั่นสิ นี่เป็นครั้งเเรกที่ข้าเห็นภาพวาดที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ ฝีมือการวาดภาพของคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยนะ”
ซูอี้วางพู่กัน ผู้คนต่างกระตือรือล้น รอเพียงคนเเรกที่จะเริ่มต้น
ซูเฉินคอยกางร่มให้เขาอยู่ข้างๆไม่ให้เขาโดนแดด
ยายแก่คนหนึ่งถือไม้เท้าเดินออกจากฝูงชน เดินอ้อมมาที่โต๊ะของซูอี้ แล้วหยิบเงินห้าสิบอีแปะออกมา
“พ่อหนุ่ม เจ้าวาดรูปให้ข้าสักรูปเถอะ ยายอายุเจ็ดสิบกว่าเเล้ว คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเเล้ว อยากจะทิ้งความทรงจำไว้ให้ลูกชายบ้าง”
ยายเเก่เเต่งตัวธรรมดา ไม่น่าจะเป็นร่ำรวยอะไร เเต่ความคิดของท่านก็คล้ายกับผู้สูงอายุในชนบทสมัยใหม่บางคน คือเมื่อถึงวัยชราก็จะเริ่มกังวลเรื่องหลังความตาย ชอบจัดทำชุดสำหรับงานศพ จัดทำโลงศพ ถ่ายรูปอะไรทำนองนั้น
สมัยโบราณไม่มีเทคโนโลยีขนาดนั้น ดังนั้นคนตายก็คือตาย รูปโฉมของพวกเขาก็จะค่อยๆถูกคนรุ่นหลังลืมเลือนไป
มีประโยคที่ดีกล่าวว่า ความตายไม่ใช่การจากไปชั่วนิรันด์ เเต่การถูกลืมเลือนต่างหาก
เทพนิยายตะวันตกกล่าวว่า เมื่อคนตายเเล้วจะไปยังโลกเเห่งความสุขอันเป็นนิรันดร์อีกแห่งหนึ่ง เเต่เมื่อคุณถูกผู้คนบนโลกมนุษย์ลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิง คุณก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์ สูญเสียความทรงจำ สูญเสียร่องรอยของการมีอยู่ไป
ซูอี้พยักหน้า ให้ซูหว่านเก็บเงิน เเละเริ่มสร้างสรรค์ผลงานชิ้นที่สองของวัน
พวกคนที่ว่างงานเเละชอบสอดรู้สอดเห็น เพื่อความสนุกสนาน เเละรอดูผลงานสุดท้าย ถึงกับไปสั่งน้ำชา น้ำเเละเมล็ดเเตงโม ที่ร้านน้ำชาข้างๆเเละแอบมองเป็นพักๆ
แดดแรงขนาดนี้ พี่สามคอยกางร่มให้พี่ห้าตลอด เเต่เหงื่อเม็ดเล็กๆที่หน้าผากของพี่ห้าก็ยังคงผุดขึ้นมา เขาเช็ดหน้าด้วยผ้าเช็ดหน้าตลอด กลัวว่าจะหยดลงบนกระดาษวาดภาพ
ซูหว่านคิดว่า การตั้งเเผงลอยคงไม่ดี อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูร้อนเเล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆจะไม่เป็นลมแดดหรือ
ซูหว่านคิดว่ายังไงก็ต้องหาสถานที่ที่เย็นสบายเเละคึกคัก อย่างน้อยก็ต้องไม่ให้โดดแดด
เจียงอวี้รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ จึงได้จองโต๊ะทั้งโต๊ะในศาลาน้ำชา
“ให้ซูอี้มาวาดรูปในศาลาน้ำชาดีกว่า ที่นี่ร่มรื่นกว่า เเถมมีน้ำชาให้ดื่มเเก้กระหายด้วย”
ซูหว่านแอบถอนหายใจ เเละคิดว่าเจียงอวี้คิดได้รอบคอบจริงๆ เเต่ภาพวาดของซูอี้ยังไม่เสร็จ นางจึงไม่ได้รบกวนเขา
ข้างๆเขา มีคนต่อเเถวมากมายเเล้ว ทุกคนได้จ่ายเงินเเล้ว กำลังรอให้ตัวเองถูกวาด
“เถ้าเเก่ ขอปรึกษากับท่านเรื่องหนึ่งนะ!”
เถ้าแก่ได้ยินเสียงก็หันกลับมา เมื่อเห็นว่าเป็นซูหว่าน ก็ยิ้มขึ้นมา
“แม่นางท่านว่ามาเลยขอรับ มีธุระอันใดหรือ”
“คือจากนี้พี่ห้าของข้าจะมาตั้งเเผงวาดรูปที่ศาลาน้ำชาของท่านเป็นประจำ พวกเราสามารถจ่ายค่าเช่าให้ท่านได้ อีกทั้งเมื่อพี่ห้าของข้ามาที่นี่ ธุรกิจของท่านก็จะดีขึ้นมาก ท่านว่าอย่างไร” ซูหว่านพูดตรงๆไม่พูดพร่ำเพรื่อ
เถ้าเเก่มองดูยอดขายของศาลาน้ำชา เเล้วยิ้มจนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น
เเน่นอนว่านี่ย่อมไม่มีปัญหา ซูอี้อยู่ที่นี่ก็เปรียบเสมือนเทพเจ้าโชคลาภของเขา
“คุยกันได้ขอรับ ตราบใดที่คุณชายเต็มใจ ข้าย่อมไม่มีปัญหา”
ซูหว่านรู้ว่าเขาจะตกลง จึงหารือเรื่องค่าเช่ากับเขา
เดือนละห้าตำลึงเงิน สำหรับค่าโต๊ะ รวมน้ำชาด้วย
ตอนเที่ยงซูหว่านเตรียมอาหารให้เขา ทั้งสี่คนกินข้าวที่ศาลาน้ำชา เมื่อกินข้าวเสร็จ ซูอี้ก็วาดรูปต่อ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...