ช่วงนี้ สุขภาพของต้าหนิวและเอ้อร์ยาสองพี่น้องต่างก็กลับมาแข็งแรงขึ้นแล้ว ร่างกายก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาก เมื่อเทียบกับตอนที่ผอมหนังหุ้มกระดูก ตอนนี้ก็ดูเหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกันแล้ว
โดยเฉพาะเอ้อร์ยา หลังจากอ้วนขึ้นก็ดูขาวสะอาดตา เวลายิ้มก็มีลักยิ้มทั้งสองข้าง ดวงตากลมโตเป็นประกายเหมือนลูกองุ่นน่ารักน่าเอ็นดู
ส่วนต้าหนิวที่ดูเป็นเด็กฉลาดเฉลียว ในช่วงที่อยู่โรงเตี๊ยม เขาก็มักจะใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังตัวอย่างมาก
คอยช่วยบรรดาองครักษ์ทำงาน ขนของ และก็ไม่พูดมาก เพียงแค่นั่งเฝ้าหน้าประตูของซูหว่านอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ซูหว่านบอกว่าไม่ต้องเฝ้าเขาก็ไม่ยอม ทุกครั้งที่หลิวอวิ๋นจะทำอะไรเขาก็จะรีบกุลีกุจอไปทำแทน
ซูหว่านอยากกินของว่างอะไร เขาก็จะอาสาไปซื้อให้ทันที
ในขณะที่ทานอาหาร ซูหว่าน ซูอี้ หลิวอวิ๋น และหลิวอิ๋งจะนั่งทานโต๊ะเดียวกัน ส่วนเหล่าองครักษ์ก็จะแบ่งเป็นสองโต๊ะ
หลังจากที่เอ้อร์ยาสามารถลุกขึ้นจากเตียงได้แล้ว สองพี่น้องจะไปทานอาหารรวมกับบรรดาองครักษ์ แต่ทุกครั้งพวกเขาก็จะถือชามของตัวเอง คีบกับข้าวน้อยๆ ไปนั่งกินที่มุมห้อง ท่าทางที่ต่ำต้อยและระมัดระวังเช่นนี้ทำให้ผู้ที่ได้เห็นรู้สึกสงสารจริงๆ
นอกจากนี้ในแต่ละมื้อ พวกเขายังทานข้าวเพียงแค่หนึ่งชาม เพราะเกรงว่าหากกินมากไปจะไม่เป็นที่รักของซูหว่านและซูอี้ ทั้งที่ความจริงแล้วทั้งคู่ยังทานไม่อิ่ม
ซูหว่านเห็นดังนั้นจึงบอกกับพวกเขาว่า อยู่กับนางก็ทานอาหารให้อิ่มท้องไปเลย แต่เด็กทั้งสองก็ยังไม่เชื่อฟังและยืนยันที่จะกินแค่หนึ่งชามเท่านั้น ซู่อี้จึงตัดสินใจใช้ไม้แข็งเข้าจัดการ
โดยบอกกับพวกเขาว่า ตนไม่ชอบการแสดงท่าทีที่ดูเสแสร้งเช่นนี้ที่สุด เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กๆ ก็ตกใจกลัว และหลังจากนั้นก็ไม่ดึงดันที่จะกินเพียงชามเดียวอีกต่อไป แต่กินจนอิ่มเท่าที่ต้องการ
ทุกครั้งที่กินเสร็จ ในชามจะไม่มีข้าวเหลือแม้แต่เม็ดเดียว มีเพียงคนที่เคยอดอยากมาก่อนเท่านั้นถึงจะรู้ว่าอาหารนั้นมีค่าเพียงใด
ส่วนท่านจ้าวซานคนนั้น คาดว่าหลังจากที่ถูกสั่งสอนมาอย่างหนัก และสงสัยว่าซูหว่านอาจจะเป็นคนใหญ่คนโตที่ไม่อาจล่วงเกินได้ จึงไม่เคยกลับมารบกวนอีก
เมื่อเรื่องที่จี้โจวสิ้นสุดลง ซูหว่านก็ไม่อยากจะล่าช้าอีกต่อไป จึงรีบมุ่งหน้าต่อไปยังอำเภอโยวในเมืองหมิ่นโจว
เพียงแต่ก่อนจะออกเดินทาง นางต้องหาวิธีส่งตัวต้าหนิวและเอ้อร์ยาไปยังสำนักเฟิงเย่ว์ให้ได้เสียก่อน
……
จวนเจ้ากรมชลประทานตั้งอยู่ในเมืองหมิ่นโจว แต่ซูจิ่งมักจะพำนักพักอยู่ที่เรือนบนเชิงเขาในอำเภอโยวเป็นประจำ เขาได้วาดแผนผังเกี่ยวกับการสร้างเขื่อนกั้นน้ำขึ้นมาหนึ่งฉบับ
แผนผังเขื่อนที่เขาวาดขึ้นโดยอิงตามภูมิประเทศต้นน้ำของแม่น้ำเซวียนเหอ ดูเผินๆ อาจซับซ้อน แต่เมื่อสร้างเสร็จ จะสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างที่ออกแบบมาเป็นพิเศษของตัวเขื่อน เพื่อรับมือกับกระแสน้ำที่รุนแรงในช่วงฤดูน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลังจากที่แผนผังนี้ถูกนำขึ้นทูลเกล้า ฝ่าบาทก็มีรับสั่งให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเซวียนเหอทันที ไม่ว่าจะต้องสิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองและวัตถุสิ่งของเท่าใดก็ตาม เพราะเมื่อเขื่อนนี้สร้างเสร็จ จะถือเป็นโครงการใหญ่ที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ลูกหลานในภายภาคหน้านับพันปี ดังนั้นจึงต้องสร้างให้สำเร็จลุล่วง ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับแรงกดดันหรืออุปสรรคใดๆ ก็ตาม
ในปัจจุบันราชสำนักและวังหลังต่างลดทอนการใช้จ่ายลงโดยมีฮองเฮาเป็นผู้นำ มีพระราชโองการให้เหล่าสนมในวังหลังทั้งหมดต้องนำเงินทองและทรัพย์สินออกมาบริจาค ปัจจุบันจึงไม่มีผู้ใดกล้าสวมใส่เครื่องประดับล้ำค่า ขณะนี้กำลังมีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ อีกทั้งชายแดนก็กำลังทำศึก ต้องการเสบียงและยุทโธปกรณ์จำนวนมาก ฮ่องเต้จึงไม่อนุญาตให้ขุนนางฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ หากผู้ใดถูกตรวจพบจะถือเป็นโทษร้ายแรง
ซูจิ่งที่อยู่บริเวณแม่น้ำเซวียนเหอ เขาได้เริ่มนำเหล่าทหารและราษฎรปลูกป่า ขุดขยายลำน้ำ และผันน้ำเข้าสู่ที่นา
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังค้นพบสารที่เรียกว่าหินปูนอีกด้วย เขาขุดหินปูนออกมา บดเป็นผง แล้วนำไปเผาด้วยอุณหภูมิสูง จากนั้นนำมาผสมกับดินเหนียว เติมน้ำ และคนให้เข้ากัน ก่อนจะนำไปฉาบบนกำแพงอิฐ ด้วยวิธีนี้ กำแพงที่สร้างขึ้นก็จะแข็งแกร่งทนทาน ทนต่อแดดและลมฝนได้หลายร้อยปี และสามารถต้านทานกระแสน้ำในฤดูน้ำหลากได้อย่างแน่นอน

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...