“ในหนังสือ นายเป็นแค่ตัวประกอบผ่านๆ คนหนึ่งที่ปรากฏตัวไม่บ่อยนัก ในนิยายนายเป็นแค่องค์ชายที่ไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่ต่อสู้แย่งชิงอะไร ขอเพียงได้เป็นแค่ชายหนุ่มเสเพลไปวันๆ เท่านั้น สุดท้ายแล้วตอนจบก็ถือว่าไม่แย่ หลังจากที่มู่หรงเซิงขึ้นครองราชย์ นายก็พาแม่กับน้องสาวของนายไปยังชายแดน และนายก็เป็นองค์ชายเพียงคนเดียวที่จบลงด้วยดีในสงครามชิงบัลลังก์”
บรรดาคนที่ต่อต้านมู่หรงเซิง เกือบจะไม่มีใครมีจุดจบที่ดีเลย บ้างก็ตายบ้างก็พิการ บางคนก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุก
มู่หรงไหวได้ยินบทสรุปชีวิตของตัวเองแล้วก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ที่ดินศักดินาชายแดนจะเป็นสถานที่ที่ดีได้อย่างไร ก็แค่ช่วยให้มีชีวิตรอดเท่านั้นเอง
แต่พอได้ยินประโยคถัดมา มู่หรงไหวก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
ที่ว่าเขาเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวที่มีจุดจบที่ดีคืออะไร หมายความว่าพี่น้องคนอื่นล้วนมีจุดจบที่ไม่ดีใช่อย่างนั้นหรือ
“ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ เขาช่างอำมหิตไร้ความปรานี หากให้เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้จริงๆ ฉันต้องลำบากแน่ๆ ฉันน่ะชอบเล่นงานเขาในค่ายทหาร แถมยังชอบแย่งซีนเขาบ่อยๆ ด้วย”
“นายอย่าเพิ่งร้อนใจไป ฟังฉันเล่าเรื่องราวตามท้องเรื่องเดิมของนิยายให้ฟังก่อน แล้วค่อยๆ คิดตาม" ซูหว่านกล่าวให้เขาใจเย็นลง
เนื้อหาเดิมในนิยายดำเนินเรื่องโดยใช้มุมมองของกู้เย่ว์ บอกเล่าเรื่องราวความรักกับมู่หรงเซิง รวมถึงความพยายามของทั้งสองเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอันสูงส่ง
และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้นตัวละครหลักบางตัวในเรื่อง เช่นตัวร้ายหญิงช่วงต้นเรื่องอย่างซูหว่าน ซึ่งถูกใช้เป็นตัวเปรียบเทียบเพื่อเสริมความดีงามของนางเอก
เจียงอวี้ผู้เป็นแค่เครื่องมือ ถูกเรียกใช้ก็ต่อเมื่อมีประโยชน์ พอหมดประโยชน์ก็ถูกเก็บเข้ากรุ ไม่ต่างอะไรจากบันไดให้นางเอกก้าวขึ้นไปพลิกสถานการณ์ เวลาที่เหลือในเรื่องของนาง หากไม่ใช่เอาแต่ไปปะทะกับบรรดานางรอง ก็พัวพันอยู่กับการคลอเคลียกับพระเอกจนน่าเบื่อ ยืดเยื้อได้เป็นสิบๆ บทเลยทีเดียว
แน่นอนว่าในฐานะตัวละครรอง เจียงอวี้ถูกเขียนให้ด้อยกว่าพระเอกในทุกๆ ด้าน แต่สำหรับซูหว่านแล้ว ตัวละครของเจียงอวี้คือดีงามไร้ที่ติ
อีกทั้งห้าพี่น้องตระกูลซูเองก็เป็นแค่ตัวละครเพื่อรับใช้โดยสมบูรณ์ ไร้ความคิดเป็นของตัวเอง รู้แค่การเอาใจและตามใจกู้เย่ว์ทุกรูปแบบ สนับสนุนนาง เป็นเครื่องมือให้นางใช้งาน
ตอนนี้ซูหว่านคิดว่า ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการสร้างตัวละครของผู้เขียนโดยตั้งใจ ภายใต้ปลายปากกาของนาง ตัวละครต่างๆ ได้สูญเสียจิตวิญญาณไป สูญเสียสิทธิ์ที่จะมีอารมณ์ดีใจโกรธเศร้าสุขได้ด้วยตัวเอง ประมาณว่าหากผู้เขียนสั่งให้โกรธ ตัวละครก็ต้องโกรธตามนั้น
“ฉันเข้าใจแล้ว ในหนังสือฉันเป็นตัวละครที่ไม่มีบทบาทเลย เหตุผลที่ฉันมีตอนจบที่ดีได้ก็เพราะฉันเป็นคนโง่เง่าจนไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไร ส่วนเธอน่ะ ถูกเขียนให้เป็นตัวร้ายหญิง ทำได้แค่ต้องเอาตัวรอดและแก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีต่างๆ หลังจากได้ฟังเรื่องราวของเธอ ก็รู้สึกว่าเธอเองก็ไม่ง่ายเลยนะ ที่สามารถแก้ไขสิ่งที่ผิดเพี้ยนให้กลับมาเข้าที่ได้”
ที่เขาเรียกว่าสิ่งที่ผิดเพี้ยน น่าจะหมายถึงเส้นเรื่องของซูจิ่ง อารมณ์ที่บิดเบี้ยวของซูอวิ๋น และชะตากรรมการเป็นเพียงเครื่องมือของเจียงอวี้
“ก็พอได้อยู่ หลักๆ คือฉันรู้เรื่องราวทั้งหมด ไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงไปแล้วเหมือนกัน" ซูหว่านยักไหล่ โชคดีที่เธอมีสูตรโกง
คนอื่นทะลุมิติมาก็มีมิติพิเศษ แต่เธอทะลุมาในหนังสือพร้อมรู้เรื่องราวทุกอย่างอยู่แล้ว ก็นับว่าดีแล้ว เพียงพอแล้ว
“ก็จริง แต่ฉันรู้สึกว่า ในเมื่อพวกเราตัวละครในกระดาษได้มีจิตวิญญาณแล้ว แต่ละคนต่างก็เป็นตัวเอกในมุมมองของตัวเอง ตอนนี้เนื้อเรื่องก็เปลี่ยนไปหมดอย่างที่เธอว่า ฉันเองก็เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องแล้ว บอกตามตรงนะ ตอนแรกที่ฉันยอมรับความจริงเรื่องการทะลุมิตินี้ได้ ฉันก็คิดว่าจะไม่ใช้ชีวิตไปวันๆ ฉันต้องวางแผนอะไรบางอย่างเพื่อตัวเองบ้าง ก็เลยตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพและแข่งกับมู่หรงเซิง ตอนนี้ฉันก็มีชื่อเสียงเหนือกว่าเขาแล้ว เพียงแต่ไม่คิดเลยว่า ฉันจะดึงเอาตัวละครที่เป็นพวกของเขามาอยู่ฝั่งฉันได้อีกด้วย"
ตัวละครที่เป็นพวกของเขาที่เขาหมายถึงนั้นก็คือเจียงอวี้และซูเฉิน เมื่อครั้งที่เขาได้เห็นความสามารถของทั้งสองในสนามรบแล้ว ก็รู้สึกว่าฝีมือการสู้รบของพวกเขานั้นร้ายกาจนัก ด้วยความเลื่อมใสปกติของชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาจึงอยากจะผูกมิตรกับพวกเขา คาดไม่ถึงเลยว่า สหายที่เขาทุ่มใจคบด้วยความจริงใจ แท้จริงแล้วคือตัวละครสำคัญในนิยายเรื่องนี้นั่นเอง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...