เสิ่นชิงหลีถูกนางทำให้หัวเราะจนต้องใช้พัดปิดปาก
หวานหว่านช่างซุกซนจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจียงซื่อจื่อถึงได้หลงใหลขนาดนี้
“องค์ชายเจ็ดทรงเกรงใจเกินไปแล้ว แต่สถานการณ์ในตอนนั้นฉุกเฉิน มิใช่ว่าพวกเขาไร้ความสามารถ เพียงแต่ข้าบังเอิญมีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นไวกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย จึงสามารถแยกแยะกลิ่นที่คนปกติไม่ได้กลิ่นได้ก็เท่านั้น”
การที่เขาเป็นหัวหน้าหมอหลวงของสำนักหมอหลวงได้นั้น แสดงว่าเขามีความสามารถที่แท้จริง ส่วนซูมู่แค่ชนะด้วยพรสวรรค์เท่านั้น
พี่รองนี่โอ้อวดแบบถ่อมตัวสินะ
"ท่านหมอเทวดาน้อยช่างถ่อมตนเสียจริง ท่านเพียงแค่อาศัยการจับชีพจรก็สามารถทราบได้แล้วว่ามีสิ่งใดผิดปกติ นั่นก็เก่งกว่าพวกเขามากอยู่แล้ว จะต้องถ่อมตนไปทำไมกันเล่า?
คืนนี้มีงานเลี้ยงรอบกองไฟ ท่านต้องมาเข้าร่วมให้ได้นะ ข้าจะขอคารวะท่านหลายๆ จอกเลย”
มู่หรงไหวยิ้มอย่างจริงใจ พร้อมเอ่ยปากเชิญชวนซูมู่
ซูมู่เดิมทีไม่อยากไป แต่ในเมื่อองค์ชายเจ็ดมาเชิญด้วยตัวเอง เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปแล้ว
“ตกลง!”
“เช่นนั้นไว้เจอกันตอนค่ำ” มู่หรงไหวประสานหมัดคารวะเขา และโค้งคำนับอีกครั้ง
มู่หรงไหวยังมีธุระนิดหน่อย จึงขอตัวจากไปพร้อมเจียงอวี้ก่อน
พวกเขาเพิ่งจะจากไปได้ไม่นาน ซูจิ่งก็กลับมาแล้ว และข้างหลังเขาก็มีซูอวิ๋นตามมาด้วย
ท่านอ่านไม่ผิดหรอก คือซูอวิ๋น!
ในตอนนี้เขาพาคนกลุ่มหนึ่งและกองของมากมาย เดินตามหลังพี่ใหญ่อย่างผยองเหมือนไก่ตัวผู้ที่เย่อหยิ่ง
ซูหว่าน ซูมู่ ซูอี้ รวมถึงพี่สะใภ้ใหญ่และซุนหลิงเอ๋อร์ ต่างก็จ้องมองเขาไม่กะพริบตา ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่า เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ซูจิ่งเห็นภาพนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ และอธิบายว่า
“เมื่อคืนข้าถูกฮ่องเต้เรียกตัวกลางดึกใช่ไหม? เพราะพวกเราส่งเนื้อย่างไปสองสามจาน พอฝ่าบาททรงเสวยแล้วก็รู้สึกว่าอร่อยเป็นพิเศษ จึงถามข้าว่าใช้อะไรทำ ข้าเลยบอกไปว่าเป็นเครื่องปรุงสูตรลับเฉพาะของซูอวิ๋น ฝ่าบาทจึงส่งคนกลับไปที่เมืองหลวงในคืนนั้นเลย เชิญน้องสี่มาที่นี่ ให้เขาพาคนและเครื่องปรุงสูตรลับมา รับผิดชอบงานเลี้ยงรอบกองไฟในคืนนี้
ฮ่องเต้รับสั่งให้เขาจัดเตรียมเนื้อย่างตามวิธีของเขาเอง หากคนไม่พอ ก็สามารถสั่งการคนของห้องเครื่องได้ตามสบาย”


ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...