บทที่ 3
คนที่เดินมา เป็นผู้หญิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเครื่องสำอาง พร้อมกับชุดกระโปรงขาสั้นที่ดูเซ็กซี่ยั่วยวน มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งก็คล้องแขนชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาด้วย
ชายวัยกลางคนคนนั้นสวมชุดสูทดูเป็นระเบียบ พร้อมด้วยแหวนทองบนนิ้วมืออีกสามวง ดูมีภูมิฐานอย่างมาก
ที่ด้านหลังของสองคนนั้น ยังมีชายวัยรุ่นที่สวมเสื้อเชิ้ตธรรมดาตามมาด้วย
พอชายหนุ่มคนนั้นมองมาเห็นไป๋ยี่เฟย เขาก็นิ่งตะลึงไปทันที
ไป๋ยี่เฟยเองก็อึ้งไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกับเขาที่นี่
ชายหนุ่มคนนั้นชื่อว่าจ้าวเผิง เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของไป๋ยี่เฟย แถมยังเป็นเพื่อนที่สนิทอีกด้วย แต่เมื่อวานนี้เอง เพื่อนของเขาคนนี้ก็ได้สอนบทเรียนให้เขาได้รู้ ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไรกันแน่
ตอนที่เรียนจบ จ้าวเผิงก็ได้สร้างธุรกิจขึ้น แล้วต้องการเงินที่จะไปลงทุนก้อนหนึ่ง ซึ่งไป๋ยี่เฟยที่เป็นเพื่อนกับเขา ก็ให้เงินเขายืมไปสองหมื่นโดยไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด!
แต่เมื่อวานนี้เอง พอน้องสาวของไป๋ยี่เฟยเกิดอุบัติเหตุ เขาก็ได้ไปขอร้องให้จ้าวเผิงช่วยคืนเงินให้กับเขา แต่จ้าวเผิงกลับพูดกับเขาว่า เขาไม่ได้ให้จ้าวเผิงยืมเงินเลยสักนิด ทำไมต้องคืนด้วย?
ต่อมา ไป๋ยี่เฟยก็โทรไปหาเขาอีก แต่จ้าวเผิงกลับปิดเครื่องหนีทันที
ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็เอาแต่ดึงชายวัยกลางคนคนนั้น พร้อมกับพูดออดอ้อนไปด้วย : “ที่รักคะ ฉันอยากจะรถคันนั้นจังเลย”
ชายคนนั้นก็ยิ้มให้ ก่อนจะเอามือไปโอบที่เอวของเธอ “ได้สิ หากที่รักอยากได้ก็ซื้อซะเลย...ถ้าอย่างนั้นใครก็ได้ มานี่หน่อยสิ”
พนักงานขายที่เห็นแบบนั้น ก็รีบฉีกยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาทันที “สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าต้องการให้ช่วยอะไรหรือคะ?”
“พวกเราอยากจะลองรถคันนั้นดูหน่อยน่ะ” ชายคนนั้นพูดตรงประเด็น พร้อมกับหันหน้าไปมองไป๋ยี่เฟย “แล้วก็รีบไล่คนบ้านนอกสองคนนั้นไปได้แล้ว ดูแล้วขัดหูขัดตาเสียจริง”
ฝ่ายหญิงก็พยักหน้าก่อนจะส่งเสียงเสริมขึ้นมา : “ใช่แล้ว พวกเธอเป็นใครกันถึงเข้ามาในที่แบบนี้ได้น่ะ?”
พนักงานขายเริ่มทำสีหน้าประหม่าหน่อยๆ ก่อนจะหันไปมองไป๋ยี่เฟยกับโจวฉวี่เอ๋อแล้วพูดอย่างนิ่มนวลว่า : “โปรดทั้งสองท่าน อย่าไปรบกวนการลองรถของลูกค้าท่านอื่นด้วยนะคะ”
ไป๋ยี่เฟยถอนสายตาจากจ้าวเผิงก่อนจะหรี่ตาลงมองชายกับหญิงสองคนนั้น
“ไม่ใช่พวกผมไปรบกวนพวกเขาเสียหน่อย พวกเขาต่างหากที่มารบกวนพวกผม”
แววตาที่หญิงคนนั้นมองมาที่ไป๋ยี่เฟยเต็มไปด้วยความไม่ยินดีขึ้นทันที ก่อนจะรีบส่งเสียงออดอ้อนฝ่ายชายว่า “ที่รักคะ ดูท่าทางเขาสิคะ ดูโหดร้ายเหลือเกิน”
พอฝ่ายชายได้ยินเสียงของฝ่ายหญิงแบบนั้น เขาก็โกรธขึ้นมาทันที : “นี่แกพูดว่าอะไรนะ? รีบมาขอโทษที่รักของฉันเดี๋ยวนี้!”
ในที่สุดโจวฉวี่เอ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ทนดูต่อไปไม่ไหว ก่อนจะก้าวออกมาชี้ไปที่จมูกของฝ่ายหญิง : “จะขอโทษอะไรกัน ตัวเองไม่ได้สั่งสอนให้ดีเอง แล้วยังมาให้คนอื่นขอโทษอีก บ้าหรือเปล่า!”
เป็นครั้งแรกที่ไป๋ยี่เฟยเห็นว่าโจวฉวี่เอ๋อโมโหถึงขนาดนี้ ทำให้เขาอึ้งไปด้วยความประหลาดใจ
ฝ่ายหญิงเองก็ยิ้มเยาะอย่างดูถูก : “ที่นี่เป็นที่สาธารณะนะ จะมาพูดอะไรเสียงดังกัน เธอต่างหากที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูมาดี!”
“นี่เธอ!” โจวฉวี่เอ๋อยกมือขึ้นด้วยความโกรธ เธออยากที่จะสั่งสอนผู้หญิงคนนี้จริงๆ แต่กลับถูกไป๋ยี่เฟยห้ามไว้เสียก่อน
“อย่าโมโหไปเลย ให้ฉันจัดการดีกว่า” ไป๋ยี่เฟยหันหน้าไปมองทั้งสองคน “คุณลุงครับ โปรดดูแลลูกสาวของคุณให้ดีๆ ด้วยนะครับ หากปากของเธอเป็นแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องก่อเรื่องใหญ่แน่ๆ”
“แกพูดว่าอะไรนะ?”
“ใครเป็นลูกสาวกัน?”
ทั้งชายวัยกลางคนกับหญิงสาวคนนั้นก็พูดออกมาพร้อมกัน
ไป๋ยี่เฟยก็ทำท่าทางราวกับไม่รู้เรื่องอะไร “อ้าว ไม่ใช่หรือครับ? เห็นดูเหมือนกับพ่อลูกกันมากเลยนะครับ”
แค่มองดูก็รู้แล้วว่าชายคนนั้น อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อจริงๆ ของผู้หญิงคนนั้นแล้ว
“นี่แก!” สีหน้าทั้งสองคนดูขรึมลงไป ตัวพวกเขาเองรู้อยู่แล้วนั้นมันก็เรื่องหนึ่ง แต่การที่ถูกคนอื่นพูดออกมานั้นมันกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
โจวฉวี่เอ๋อที่เห็นแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะกุมปากหัวเราะออกมา ไป๋ยี่เฟยนี่ช่างพูดจาได้เจ็บแสบเสียเหลือเกินนะ
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจท่าทีอะไรของพวกเขานัก เขาหันหน้ากลับไปพูดกับพนักงานขายว่า : “ถ้าอย่างนั้นผมไม่ลองรถแล้วล่ะครับ ผมซื้อเลยดีกว่า”
หา? ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตะลึงไปตามๆ กัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่