“ถึงเขาจะเป็นคนธรรมดา ก็คงไม่คบค้าสมาคมกับคนธรรมดาปกติแบบฉันหรอก”
สำหรับคุณผู้ชายของตระกูลจีรศักดีที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งท่านนั้น อย่างมากดอกหญ้าก็แค่นินทาในงานเลี้ยงคืนนั้นนิดหน่อย จากนั้นก็ไม่สนใจเกี่ยวกับอีกฝ่ายแล้ว
อย่างที่เธอพูด คุณสีครามจะธรรมดาแค่ไหน ก็คงไม่คบค้าสมาคมกับคนธรรมดาแบบเธอหรอก
เธอไม่ถึงขนาดเป็นคนต่ำสุดในสังคม แต่ก็ไม่ได้สูงไปถึงไหน คนที่รู้จัก คนที่รวยมากที่สุดนอกจากแก้วตาเพื่อนสนิทแล้ว ก็คือนาวีนี่แหละ
นาวีถือว่าเป็นลูกผู้ดีในตระกูลร่ำรวยมีอิทธิพล
คุณผู้ชายในตระกูลเศรษฐีอยู่คนละโลกกับเธอ ชาตินี้ก็คงไม่ได้ติดต่อกัน
นาวียิ้ม ไม่ตอบอะไร
เขาไม่เคยดูถูกดอกหญ้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกผู้ดีในตระกูลร่ำรวยมีอิทธิพลคนอื่นๆ จะดูถูกดอกหญ้า เขารู้จักแวดวงในสังคมชนชั้นสูงดี ล้วนขึ้นอยู่กับพื้นเพครอบครัว ฐานะและตำแหน่ง
เมื่อร่วมงานเลี้ยงขนาดใหญ่ แม้แต่คุณชายตระกูลดลศักดิ์ไชยอย่างเขาก็ต้องไปทักทายเหล่าบรรดาประธานก่อน ไม่งั้นอาจจะไม่ได้รับความสนใจจากคนอื่น
“รถมาแล้ว”
รถที่นาวีเรียกมา จอดริมถนน คนบนรถเดินลงจากรถมาหาทั้งคู่ แล้วเรียกนาวีว่าคุณชาย
ดอกหญ้าถึงได้รู้ว่าเขาเรียกคนขับที่บ้านพวกเขามา
คนขับตระกูลดลศักดิ์ไชยไม่รู้ว่าไปยืมรถกระบะของใครมาหนึ่งคัน เขากับนาวีร่วมแรงกันยกจักรยานไฟฟ้าของดอกหญ้าที่ไม่ขยับแล้วขึ้นไปบนรถกระบะ นาวีพูดกับดอกหญ้าว่า “พี่หญ้า ตอนนี้ดึกมาก ร้านซ่อมรถคงปิดไปแล้ว พรุ่งนี้ลุงชิตจะช่วยพี่เอารถไปซ่อม ซ่อมเสร็จแล้วจะส่งไปให้พี่ที่ร้าน”
“ขอบคุณนะ”
ดอกหญ้ากล่าวขอบคุณนาวีด้วยใจจริง หากไม่เจอเขา เธออาจจะต้องเข็นรถจักรยานไฟฟ้ากลับบ้านตอนดึกดื่น ต้องเดินไปจนฟ้าสว่างแน่
นาวียิ้มตาหยี “เราสนิทกันมาก ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ พี่หญ้า ขึ้นรถสิ ผมจะไปส่งคุณกลับบ้าน พี่ยังอาศัยที่บ้านพี่อยู่ไหม?”
“ไม่ ตอนนี้ฉันอยู่กุสดีศิลป์ วี คืนนี้โชคดีมากที่ได้เจอนาย ไม่งั้นพี่ต้องเดินกลับบ้านแล้ว แถมเข็นรถคันนั้นด้วย ไม่รู้จะเป็นยังไง ทั้งๆ ที่แบตเต็มอยู่เลย ดันไม่ขยับซะงั้น”
เธอเดาว่าวงจรเส้นไหนมันขาดนี่แหละ
ดอกหญ้าขึ้นรถนาวีไป
นาวีรู้ว่าเธอแต่งงานแล้ว ผู้ชายที่เธอแต่งด้วยก็นามสกุลจีรศักดี แต่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลจีรศักดีที่ร่ำรวยที่สุด
ตอนนี้ดอกหญ้าอยู่ด้วยกันกับสามีเธอสินะ
เขาก็ไม่ได้ละลาบละล้วงถามชื่อของสามีดอกหญ้า
ระหว่างทางที่ดอกหญ้ากลับบ้าน นาวีก็ถามเธอ “พี่หญ้า พี่อยากกินมื้อดึกไหม? ผมเลี้ยงพี่เอง”
ดอกหญ้ายิ้มแล้วพูดขึ้น “กินบางครั้ง ปกติแล้วไม่กิน ดึกขนาดนี้แล้ว พรุ่งนี้นายต้องไปทำงาน ไม่รบกวนเวลานายดีกว่า”
นี่คือการปฏิเสธ
นาวีก็ไม่ได้บีบบังคับ
เขารู้จักนิสัยดอกหญ้าดี ถ้าเธอปฏิเสธ แล้วเขายืนกรานอีก จะทำให้เธอไม่พอใจเอาง่ายๆ
กลับถึงประตูทางเข้ากุสดีศิลป์ ดอกหญ้าก็ให้นาวีจอดรถ
“ฉันเดินเข้าไปเอง”
นาวีอยากไปส่งเธอใต้ตึกมากๆ แบบนี้จะได้รู้ว่าเธออยู่บ้านหลังไหน แต่กุสดีศิลป์เขตพื้นที่คุณภาพเยี่ยมแบบนี้ ไม่สามารถเข้าไปตามใจชอบได้ สุดท้ายนาวีก็ยอมแพ้
เขาอยากรู้ว่าดอกหญ้าอาศัยหลังไหน แค่ถามพี่สาวเขาก็แจ่มแจ้งแล้ว
“วี คืนนี้ขอบคุณนะ”
ดอกหญ้ากล่าวขอบคุณนาวีอีกครั้ง
“เรื่องเล็กน้อย พี่หญ้าขอบคุณผมหลายรอบแล้วเนี่ย ถ้าจะขอบคุณผมจริงๆ วันหลังมีเวลาก็เลี้ยงข้าวผมดีไหม?”
ดอกหญ้ายิ้ม “ได้สิ วันหลังจะเลี้ยงข้าวนายกับพี่สาวนาย”
นาวีเม้มปากแล้วพูดขึ้น “มีแค่เราสองคนไม่ได้เหรอครับ?”
“ก็ได้ นายกลัวพี่นายบ่นจู้จี้นายสินะ?”
นาวียิ้ม ถือเป็นการยอมรับโดยปริยาย
ดอกหญ้าโบกมือบอกลาเขา จากนั้นก็รูดบัตร เดินเข้าไปในเขต
จนกระทั่งไม่เห็นเงาเธอแล้ว นาวีถึงได้เลื่อนกระจกรถขึ้น แล้วสตาร์ทรถ
ดอกหญ้าเดินกลับถึงบ้านหลังเล็กของตัวเอง ควักกุญแจออกมาเปิดประตู
แป๊บเดียว เธอก็พบว่าประตูถูกล็อกจากด้านใน
สีครามนึกว่าเธอกลับถึงบ้านก่อน พอเขากลับถึงบ้านก็เลยล็อกประตูงั้นเหรอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดอกหญ้าสีคราม