“นั่งวีลแชร์แล้วมันยังไงกันคะ? นั่งวีลแชร์ไม่ได้หมายความว่าจะนั่งทานข้าวได้อย่างสบายอกสบายใจนะ”
“ดูอย่างจวิ้นเจี๋ยของป้าสิ สมัยก่อนก็เป็นแค่พนักงานตำแหน่งเล็กๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้ก็ได้เลื่อนขั้นเพราะอาศัยความสามารถของตนเอง”
หวางเหลียนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ดูภายนอกเหมือนจะให้กำลังใจหลินเซียว แต่ความจริงแล้วกำลังพยายามเอาพวกเขา2คนมาเปรียบเทียบกันต่างหาก
“แม่ครับ อย่าเอาผมไปเทียบกับคุณหลินเซียวเขาเลยนะ”
“เพราะถึงยังไง คนเราก็ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
โหวจวิ้นเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ดูภายนอกเหมือนพูดไปโดยที่ไม่คิดอะไร แต่ความจริงแล้วแต่ละประโยคนั้นมันแทงใจคนฟังมาก
เห็นได้ชัดว่าความหมายของเขาก็คือ หลินเซียวไม่ได้มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะมาเทียบกับเขาด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆๆ ก็จริง ก็จริง”
หวางเหลียนหัวเราะออกมาและพูดว่า “แต่ถึงยังไงหว่านชิวก็เป็นหลานสาวของแม่เหมือนกัน”
“จะให้แม่ไม่สงสารเธอได้ยังไงกันล่ะ? เด็กผู้หญิงอย่างเธอต้องมาคอยเลี้ยงคนพิการ มันจะเหนื่อยแค่ไหนกันนะ?”
“จวิ้นเจี๋ย ไม่งั้นเอาแบบนี้ดีไหม ฝากดูให้หน่อยว่าทางฝั่งลูกมีงานอะไรดีๆ ให้เขาพอจะทำได้บ้างรึเปล่า”
ฉินหว่านชิวค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันและพูดว่า “ป้ารอง ตอนนี้ยังไม่จำเป็นหรอกค่ะ เงินเดือนของหนูเพียงพอสำหรับพวกเรา”
“พูดว่าไงนะ?”
หวางเฟิ่งถลึงตาและพูดว่า “ไม่ว่าจะพอหรือไม่พอใจ แต่การมีคนหาเงินเพิ่มมันย่อมดีกว่าอยู่แล้ว”
“พี่รอง จวิ้นเจี๋ยมียศมีตำแหน่ง ฝากช่วยหาให้หน่อยนะ”
พอได้ยินหวางเฟิ่งพูดแบบนี้ ฉินหว่านชิวก็กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เพราะไม่ว่าจะยังไง เธอก็ไม่มีทางยอมให้หลินเซียวออกไปทำงานหาเงินอย่างแน่นอน
ขนาดตอนที่หลินเซียวอยู่ที่บ้านยังโดนรังแกขนาดนี้ ถ้าออกไปข้างนอกจะไม่ยิ่งกว่านี้อีกเหรอ?
พอโหวจวิ้นเจี๋ยได้ยินดังนั้น ก็ขยับแว่นตาและชำเลืองมองมาที่หลินเซียว
แล้วก็เอามือลูบคาง แสร้งทำเป็นครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เดี๋ยวให้ผมคิดก่อนนะครับ”
“งานกวาดพื้นหรือล้างห้องน้ำ……เขาก็ทำไม่ได้อยู่ดีนี่นา!”
“แต่นอกจากงานพวกนี้ ก็เหมือนจะไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้แล้ว”
พอได้ยินคำพูดของโหวจวิ้นเจี๋ย ครอบครัวของหวางเหลียนก็หลุดหัวเราะออกมาทันที
ขนาดงานระดับล่างอย่างกวาดพื้นหรือล้างห้องน้ำ หลินเซียวยังไม่สามารถทำได้เลย
นั่นก็หมายความว่า เขายังเทียบกับคนชั้นล่างไม่ได้เลยด้วยซ้ำสิ?
หวางเฟิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันทันที ในที่สุดเธอก็เข้าใจ ว่าหวางเหลียนไม่ได้คิดจะช่วยหางานให้หลินเซียวจริงๆ หรอก
เดิมทีเธอก็คิดว่า ถึงแม้ว่าหลินเซียวจะพิการ แต่ไม่ว่าจะแย่แค่ไหนคุณก็ยังสามารถนั่งพิมพ์งานในออฟฟิศนี่?
แต่ไม่คิดเลยว่าโหวจวิ้นเจี๋ยจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“เอ้ะ ผมนึกออกแล้ว!”
ทันใดนั้นโหวจวิ้นเจี๋ยก็วางมือลงและพูดว่า “ที่ป้อมยามขาดคนเฝ้าประตูอยู่พอดีเลย……คนเฝ้าประตูน่ะ”
“ถ้าพี่หลินเซียวไม่รังเกียจล่ะก็ ไปทำหน้าที่ยามเฝ้าประตูที่ทำงานผมไหมล่ะ?”
“ถึงแม้ว่างานนี้ ส่วนมากจะโดนคนเรียกว่าเป็นเหมือนหมาเฝ้าบ้าน……”
“แต่ผมคิดว่าพี่หลินเซียวคงไม่แคร์หรอกใช่ไหม?”
สายตาของโหวจวิ้นเจี๋ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มุมปากเต็มไปด้วยท่าทางที่ขี้เล่น แล้วก็มองลงไปที่หลินเซียว
“เชอะ!”
ฉินหว่านชิวตบโต๊ะและลุกขึ้นทันที
“โหวจวิ้นเจี๋ย นี่นายจะเกินไปแล้วรึเปล่า?”
ฉินหว่านชิวถลึงตาใส่โหวจวิ้นเจี๋ย ในใจเต็มไปด้วยความโมโห
“พี่หว่านชิว หมายความว่ายังไงกันครับ?”
“ไม่ใช่ว่าผมกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหางานให้พี่หลินเซียวทำหรอกเหรอ?”
โหวจวิ้นเจี๋ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา
“หลินเซียวกับนายไม่ได้มีความคับข้องใจอะไรกันเลย แล้วทำไมต้องมาพูดจากับเขาแบบนี้ด้วย?”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดาบพิทักษ์แผ่นดิน
รบกวนอัพเดทเรื่องนี้ให้หน่อยครัย...