ณ กรุงตงเหิง กลางดึกที่ทุกสิ่งเงียบสงัด
ประตูใหญ่ของจวนหยุนชินอ๋องค่อย ๆ เปิดออก พ่อบ้านโจวยี่พาคนรับใช้สองคนก้าวขึ้นไปบนบันได ปลดโคมเคลือบของพระราชวังทั้งสองฝั่งออกมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วแทนที่ด้วยโคมไฟสีขาวธรรมดาสองดวง......
ในเวลาเดียวกันนี้ ภายในเรือนไผ่ที่อยู่ตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงได้ของจวน กลับประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสี ตำหนักใหญ่เงียบจนน่าประหลาดใจ เทียนคู่หงส์มังกรค่อย ๆ สาดแสงไปยังผ้าม่านสีแดงสด จนเกิดประกายระยิบระยับ
เหยียนหมิงโร่ องค์หญิงหงสาแห่งหนานหรง สวมมงกุฎหงส์ ประดับด้วยมุกมรกต ถูกมัดอย่างแน่นหนาแล้วโยนลงบนเตียง นางลืมตาจ้องมองเพดานด้วยความหวาดกลัว น้ำตาหยดลงมาราวกับไข่มุกที่ขาดกระเด็นออกจากสาย ไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างลงมา ต่อเนื่องไปจนถึงด้านหลังคอจนเปียกชุ่ม
เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามา เสียงประตูเปิดออกดังเอี๊ยด
รู้สึกราวกับอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ องค์หญิงหงสาที่มีนิสัยอ่อนแอจึงรู้สึกตกใจกลัวสุดขีด ร่างกายสั่นเทา กัดริมฝีปากแดงระเรื่อเอาไว้แน่น ไม่กล้าปริปากส่งเสียง
“จางกงกง ต้องยกเสลี่ยงมาหรือไม่ขอรับ” ขันทีผู้น้อยคนหนึ่งเอ่ยถาม
เสียงแหลมของจางจินเลี่ยง ราวกับกำลังใช้เล็บมือครูดลงบนเครื่องลายคราม : “มีเวลาใช้เสลี่ยงที่ไหนกัน ท่านอ๋องอยู่ในโลงศพแล้ว รีบหามคนไปเร็วเข้า......”
องค์หญิงหงสาถูกขันทีที่มีพละกำลังแบกขึ้นบนบ่า แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่เต็มใจ เริ่มดิ้นรนอย่างสุดกำลังและตะโกนเสียงดัง : “พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ......ข้าคือองค์หญิงแห่งหนานหรง......พวกเจ้าไม่สามารถ......”
“องค์หญิงทรงเดินทางโดยสวัสดิภาพ พวกเราไปส่งท่านแล้ว !” จางจินเลี่ยงยกหมอนลายครามขึ้นมา แล้วฟาดลงที่ท้ายทอยขององค์หญิงหงสาอย่างแรง องค์หญิงหงสานิ่งเงียบไปทันที
“ใต้เท้าราชครูกล่าวว่าจะเสียเวลาไม่ได้ เคลื่อนไหวให้คล่องแคล่วกันหน่อย !” น้ำเสียงของจางจินเลี่ยงยิ่งแหลมสูงขึ้นอีกหลายระดับ “ส่งเสด็จท่านอ๋องและพระชายาขึ้นรถ”
คนรับใช้และผู้ติดตามทั่วทั้งจวนต่างคุกเข่าลง มองดูขบวนส่งพระศพอันยิ่งใหญ่เคลื่อนผ่านถนนของเมืองหลวงในเวลาเที่ยงคืน ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่พร้อมเพรียงกันของเหล่าทหาร ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกน่าเกรงขามจนยากจะพรรณนา
สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมืองหลวงตงเหิงเป็นหอที่สูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่ง มีชื่อว่าหอโอบจันทรา
มีชายรูปร่างผอมเพรียวยืนอยู่บนแท่นขนาดใหญ่ สายลมยามค่ำคืนพัดเสื้อคลุมและแขนเสื้อของเขาโบกสะบัด ราวกับจะโบยบินไปได้ทุกเมื่อ
มีแสงสว่างพาดผ่านท้องฟ้า กระทบเข้ากับเขาเหมยหลีที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง จากนั้นกลุ่มดาวที่เดิมทีมืดสลัว ก็ส่องแสงสว่างขึ้นมา
เกิดความแปรปรวนขึ้นในแววตานิ่งสงบของชายชุดขาว จากนั้นก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง
หมิงโร่ค่อย ๆ ฟื้นคืนสติกลับมา ความทรงจำสุดท้ายคือถูกผู้ช่วยทดลองผลักเข้าไปในกองไฟร้อนระอุขนาดใหญ่ เปลวไฟแผดเผาผิวหนังจนปวดแสบปวดร้อนไปทั่วร่างกาย ราวกับว่าจะได้กลิ่นของผิวหนังที่ไหม้เกรียม
“แพทย์หมิง ฉันทำงานหนักเพื่อคุณมาสองปีเต็ม ๆ คุณช่วยตายแทนฉันเถอะนะ !”
“โอ๊ย......” หมิงโร่กรีดร้องออกมา ภาพตรงหน้ามืดดับลง ท้ายทอยของนางเต้นตุบ ๆ ด้วยความเจ็บปวด
เธอเป็นทายาทของตระกูลขุนนางแพทย์เสวียน เมื่ออายุได้สามขวบก็ถูกผู้เป็นปู่บังคับให้ท่องตำราแพทย์ร้อยแปด และถูกขนานนามอย่างทรงเกียรติว่า เป็นแพทย์แผนจีนโบราณด้วยวัยเพียงสิบสองปีเท่านั้น
เนื่องจากถูกแพทย์แผนจีนกดดันมาตั้งแต่ยังเด็ก มีเข้ามหาวิทยาลัยจึงกบฏโดยการเลือกเรียกแผนกศัลยกรรม ตอนเรียนอยู่ระดับปริญญาโท สามารถทำการผ่าตัดใหญ่ได้สำเร็จ ถูกขนานนามว่าเป็นแพทย์ศัลยกรรมเหรียญทอง “มือนางฟ้า”
หมิงโร่มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ ถูกคณะส่งไปยังประเทศMเพื่อเข้าร่วมโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของPSK มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจการผสมผสานทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของแพทย์และระบบการแพทย์ที่ทรงพลัง สร้างแพทย์หนึ่งคนให้กลายเป็นทีมแพทย์ที่มีความสามารถรอบด้าน เพื่อรักษาพยาบาลเจ้าหน้าที่บนสถานีอวกาศ
หมิงโร่ผ่านการทดสอบทีละขั้น ๆ ได้รับสิทธิ์เดินทางไปสถานีอวกาศเพื่อปฏิบัติการทางคลินิก
คืนก่อนวันเดินทาง จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วยทดลอง กล่าวว่ามีภารกิจเร่งด่วน ต้องการให้หมิงโร่ออกเดินทางทันที
เธอซึ่งทำงานในสถาบันวิจัยมากว่าสองปี จึงไม่รู้สึกแปลกใจกับภารกิจเร่งด่วนเช่นนี้ เธอเคยให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์กับกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ มามากมาย ถึงกระทั่งว่าเคยไปในป่าดึกดำบรรพ์ รวมไปถึงสนามรบที่เต็มไปด้วยกระสุนปืนมาแล้ว
เมื่อนึกย้อนกลับไป หมิงโร่จำได้เพียงว่าได้เข้าไปในรถของผู้ช่วยทดลอง......หลังจากนั้นเธอก็ถูกผลักลงไปในทะเลเพลิง ความเจ็บปวดแลกมาซึ่งความตระหนักรู้ในทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงชีวันพสุธา
ไม่อัพต่อแล้วหรอคะ เรื่องนี้ตามหามานานมาก เสียดายจัง...
เรื่องนี้ก็ดองนานมากเลย😭...