บทที่27มาทางไหนกลับไปทางนั้น
หลังจากที่ซ่งเทียนซานนั้นจากไป ตัวแทนจากตระกูลต่างๆก็ทยอยพากันลุกขึ้นยืนและขอลากลับ
ด้วยบทเรียนที่ได้รับจากซ่งเทียนซานนั้น ยังจะมีใครหน้าไหนกล้ามากระตุกคิ้วถังเฉาอีกงั้นเหรอ?
แม้แต่ก่อนที่เขาจะเดินจากไป เขาก็ยังคงยิ้มและทักทายกับตระกูลหลิน
สิ่งนี้ทำให้หลินเจิ้นสงงงงวยมากยิ่งนัก หากเป็นปกตินั้น ตระกูลเหล่านี้ไม่แม้แต่จะให้ความสนใจเลยด้วยซ้ำ
พูดไปก็จะเหมือนว่าเหน็บแนม เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ภรรยาและลูกสาวก็ยังเรียกเขาว่าเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่ดี
หลินเจิ้นสงหันหลังกลับ แต่กลับพบว่าถังเฉานั้นไม่อยู่แล้ว
ตอนที่กำลังจะหาอยู่นั้น ข้างหูของเขาก็มีเสียงแหลมๆของโจวเหม่ยหยูนเข้า
“คนก็ไปแล้ว ยังจะหาอะไรอีก มีเวลาว่างขนาดนี้ ทำไมไม่ไปคิดหาวิธีร่วมมือกับลี่จิงซะล่ะ”
พอพูดถึงการร่วมมือกันนั้น หลินเจิ้นสงก็ขมวดคิ้วทันที พร้อมกับพูดว่า “เรื่องการร่วมมือกันนั้น ผมก็คิดหาวิธีอยู่ เธอก็อย่ามาทำให้มันวุ่นวายก็แล้วกัน”
“ฉันทำให้มันวุ่นวายมากขึ้นงั้นเหรอ”
คำพูดของหลินเจิ้นสงนั้นยั่วโมโหโจวเหม่ยหยูนอย่างถึงที่สุด
“นายนี่มีลูกตาจริงรึเปล่าเนี่ย ลูกชายสุดที่รักของนายมันก็แค่เสือจอมปลอม ใช้อำนาจคนอื่นเพื่อทำให้ตัวเองกดขี่ได้เท่านั้นแหละ เรื่องที่ดีก็มีแค่ปกป้องผู้หญิงของตน มันเกี่ยวข้องอะไรกับเขางั้นเหรอ?คาดหวังอะไร?ชีวิตนี้อย่าได้ริอาจจะคิดเลย!”
โจวเหม่ยหยูนยืนเท้าสะเอว พูดด้วยน้ำเสียงที่เหน็บแนมว่า “นี่ยังดีนะที่ก่อนหน้านี้ฉันแนะนำฉ่ายเวยให้รู้จักกับคนรวยๆไปหลายคน”
ขณะที่พูด ก็โบกมือทักทายไปที่ทางหนึ่ง
หลินฉ่ายเวยเดินมากับชายแต่งตัวดีคนหนึ่งที่ถือไวน์แดงมาด้วย
“แม่” หลินฉ่ายเวยเดินเข้ามาหาโจวเหม่ยหยูนพร้อมกับร้องเรียก
“เฮ้”
สีหน้าของโจวเหม่ยหยูนนั้นเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มในทันที เธอยิ้มแล้วถามว่า“ คุยกับคุณชายหวังเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดีนะคะ”
หลินฉ่ายเวยยิ้มและมองไปที่ชายหนุ่มรูปงามข้างๆ แล้วพูดว่า “คุณชายหวังเป็นคนที่อารมณขัน ทำให้คนแจ่มใสตลอดเวลา ควรค่าแก่การที่จะฝากชีวิตไว้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวเหม่ยหยูนก็ยิ้มแทบจะปากฉีกถึงหู “ในอนาคตสองตระกูลบ้านเราคงจะได้ไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น”
บ้านของตระกูลหวังนั้นอยู่ที่เมืองหมิงจู ถึงแม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับตระกูลสี่ยักษ์ใหญ่ แต่ก็ยังถือว่าเป็นตระกูลโดดเด่นรองลงมา
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ตระกูลหวังเริ่มต้นจากงานทางด้านความบันเทิง ซึ่งก็มีชื่อเสียงมากถือว่าในมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียง
ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ก็ดูไม่ค่อยพูดค่อยจา ได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยให้กับโจวเหม่ยหยูน “ฉ่ายเวยบอกทุกอย่างกับฉันหมดแล้ว มันไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร”
“จริงๆเหรอครับ?”
โจวเหม่ยหยูนนั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก “ความสัมพันธ์ดีก็ดีแล้ว ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ฉ่ายเวยของเราก็ตกหลุมรักนายตั้งแต่แรกเห็นเลยนะ”
“แม่ ไม่ต้องพูดแล้ว---” หลินฉ่ายเวยหน้าแดงและกล่าวอย่างเขินอาย
หวางเยี่ยได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ้มออกมา พร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวผมจะไปคุยกับดาราเรื่องการทำโฆษณานะครับ แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง พ่อของผมก็ต้องการให้เราสองตระกูลนั้นไปมาหาสู่กันบ่อยๆด้วย”
“ก็ควรจะเป็นแบบนั้นนะ” โจวเหม่ยหยูนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
หลังจากส่ง หวางเยี่ยกลับไป โจวเหม่ยหยูนเหล่ตาไปมองที่หลินเจิ้นสงในทันที:“เห็นรึยังล่ะ หวางเยี่ยเขาสามารถช่วยฉันรับรองเรื่องการทำโฆษณาได้ ส่วนหน้าที่ในการรับผิดชอบเรื่องร่วมมือกับลี่จิง นายก็ต้องทำเพื่อฉันกับฉ่ายเวยด้วย”
หลินเจิ้นสงมองไปที่โจวเหม่ยหยูนและตะคอกประโยคทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เธอมันขายลูกสาวกิน!” จากนั้นเขาก็ได้หันหลังเดินจากไป
“เฮ้ย ขายลูกสาวอะไรกัน พูดให้มันชัดเจนหน่อยซิ---”
โจวเหม่ยหยูนไม่พอใจ เธอด่ากราดในทันที
แต่ด้วยความที่หลินเจิ้นสงนั้นเดินออกไปไกลแล้ว เขาจึงได้แต่สงบปากสงบคำไว้
“แม่ พ่อเขากลับไปแล้ว เราก็กลับกันเถอะ” หลินฉ่ายเวยกล่าว
“กลับอะไรกัน?”
สีหน้าของโจวเหมยหยูนนั้นเปลี่ยนไป และกล่าวว่า “ในตอนนี้เราได้จัดการเรื่องการรับรองโฆษณากับดาราได้แล้ว รีบๆไปบอกประธานหลินเร็วเข้า”
“ยิ่งไปกว่านั้นนี่จะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้เราได้ใกล้ชิดกับประธานหลินเป็นการส่วนตัว พวกเราจะต้องคว้าโอกาสอันนี้ไว้ หรือว่าเธออยากจะให้ไอคนไร้ประโยชน์นั่นเป็นหัวหน้ารับผิดชอบโครงการนี้งั้นเรอะ”
หลินฉ่ายเวยก็รู้สึกว่ามันมีเหตุผลเหมือนกันแต่ก็ยังรู้สึกลังเลไปครู่หนึ่ง:“วันนี้เป็นงานแต่งงานใหญ่ของประธานหลิน ถ้าเราเอาเรื่องงานไปพูดกับหล่อน มันจะไม่ค่อยดีรึเปล่า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้ามังกรพรีเมี่ยม