เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 214

หนานกงเฉินกับเฉียวเฟิงนั่งรออยู่ที่หน้าประตูห้องผู้ป่วยหนักทั้งสองได้แต่สบตากันโดยไม่ได้พูดอะไรกันทั้งคืน ในวันรุ่งขึ้นของตอนเช้า หลังจากหนานกงเฉินมองไปบนท้องฟ้าด้านนอกแล้ว ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ พูดกับเฉียวเฟิงว่า “ ฉันจะไปช่วยคุณรับหว่านชิงกลับมา ”

“ ขอบคุณครับ ”เฉียวเฟิงกล่าว

หนานกงเฉินหันหลังเดินออกไปจากบริเวณห้องผู้ป่วยหนัก กลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่า

หนานกงเฉินพึ่งออกไป เฉียวซือเหิงก็มาถึงพอดี ข้างหลังยังพาคนรับใช้มาคนหนึ่ง

“ อาเฟิง กลับไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่ปล่อยให้พี่หงดูแลเอง พี่หงเธอคงจะเชื่อใจได้นะ ” เฉียวซือเหิงกล่าว

“ ใช่คะ คุณชายรองกลับไปพักผ่อนเถอะคะ ฉันอยู่เฝ้านายหญิงน้อยเอง ” พี่หงเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลเฉียว ทำงานไหวพริบดีและเป็นผู้ใหญ่พอ ดังนี้นเฉียวซือเหิงจึงเลือกที่จะพาเธอมา

อย่างไรก็ตามเฉียวเฟิงยังคงไม่ไว้ว่างใจจึงพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ฉันจะอยู่ตรงนี่รอมู่ชิงตื่นขึ้นมา ”

“ คุณหมอบอกว่ากว่าเธอจะตื่นต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบกว่าชั่วโมง คุณรออยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ”

“ มีสิ อย่างน้อยมันทำไมฉันสบายใจขึ้น ”

“ อาเฟิง ” เฉียวซือเหิงสูบหายใจเบา ๆ “ อย่าจริงจังจนเกินไป ฉันมีลางสังหรณ์ว่า มู่ชิงยังไงก็ต้องไปจากเธอในไม่ช้าก็เร็ว บางทีในอุบัติเหตุครั้งนี้ เธอคงจะฟื้นฟูความทรงจำแล้วก็ได้ อาจจำทุกอย่างได้แล้วก็เป็นได้ ”

เฉียวเฟิงรู้สึกเจ็บปวดในใจ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าคิดเลยตลอดที่ผ่านมา

“ ขอโทษนะ พี่ชายเป็นคนทำให้เธอเป็นแบบนี้เอง ” เฉียวซือเหิงขอโทษอย่างรู้สึกผิด “ เดิมทีแค่อยากให้เธอมีความสุขร่าเริงมากกว่านี้ แต่คิดไม่ถึง…”

“ ขอบคุณมากครับ พี่ชาย ” เฉียวเฟิงขัดเขาขึ้นมา “ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง อย่างน้อยในสองปีที่ผ่านมาผมมีความสุขมากครับ แค่นี้ก็พอใจมากแล้วครับ ”

“ ถ้าเธอคิดได้อย่างนั้นจริงๆมันจะดีมาก ” เฉียวซือเหิงยิ้มอย่างขมขื่น

เขาจะไม่เข้าใจน้องชายคนนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่สามารถปล่อยว่างไป๋มู่ชิงได้ เขาจะชิงตัวไป๋มู่ชิงมาให้เขาตั้งแต่แรกได้ยังไร

“ ใช่แล้วครับ อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจะสาเหตุอะไรเช็คละเอียดเรื่องหรือยังครับ ” เฉียวเฟิงถามอย่างกะทันหัน

เฉียวซือเหิงส่ายหัวไปมา “อาเฟิง ครั้้งนี้เธอต้องเตรียมใจทำใจไว้บ้าง จูจูเป็นคนที่ตระกูลหนานกงยอมรับว่าเป็นคู่ครองฟ้าลิขิต ต่อให้เธอจะเป็นคนฆ่ามู่ชิงตายจริงๆ ตระกูลหนานกงก็ไม่อาจปล่อยให้เธอโดนตำรวจจับตัวไป ตระกูลหนานกงจะใช้อำนาจทั้งหมดที่มีปกป้องเธอ รักษาเธอไว้ ”

“ ถ้างั้นตอนนี้ล่ะ ”

“ ฉันคิดว่าน่าจะได้รับการคุ้มครองจากตระกูลหนานกง ”

“ ทำไมเขาเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้ ” จู่ๆนั้นเฉียวเฟิงก็ใช้มือทั้งสองข้างตบที่พักแขนของรถเข็นอย่างโมโห “ หนานกงเฉินที่เฝ้าอยู่ตรงนี้ด้วยสีหน้าจะเป็นจะตาย ทั้งหมดนี้เป็นแค่การแสดงใช่ไหม ทำไมเขาไม่คิดช่วยมู่ชิงเรียกร้องความยุติธรรมเลยหรอ ”

“ ในความเข้าใจของเขา จูจูเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตเขาในชาตินี้ ทำไมเขาไม่ส่งตัวจูจูให้กับตำรวจก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเข้าใจ ถ้าไม่ทำเพื่อตัวเอง ฟ้าดินก็ยังทอดทิ้งเรา ” เฉียวซือเหิงกล่าว

“ แล้วบาดแผลของมู่ชิงล่ะ บาดเจ็บฟรีๆหรอ ”

“ ไม่หรอก ” เฉียวซือเหิงพูดอย่างปลอบใจ “ จูจูต้องได้รับกรรมที่ก่อเอาไว้ เธอรู้ดี ”

ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสักวันจูจูก็ต้องถึงทางตันในไม่ช้าก็เร็ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ยุติธรรม หนานกงเฉินก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าสักวันจูจูก็ต้องถึงทางตันไม่ช้าก็เร็ว แต่หากเรื่องนี้เธอไม่ได้รับโทษ เขาก็ยังคงรู้สึก ไม่ยุติธรรมอยู่ดี

--

เมื่อหนานกงเฉินรีบกลับไปถึงคฤหาสน์หลังเก่า เสียวชิงก็ได้นอนตื่นแล้วท นอนหดตัวอยู่บนเตียงจ้องมองห้องที่ไม่คุ้นเคยแล้วร้องเรียกหาแม่

ทันทีที่หนานกงเฉินเดินเข้ามาเห็นดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา ดูแล้วน่าสงสารมาก

“ เสี่ยวหว่านชิง หนูนอนตื่นหรือยัง ” เขาเดินเข้าไป ยืนมือไปลูบหัวน้อย ๆ ของเธอ “ เป็นยังไงบ้าง ร่างกายยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม ”

เสี่ยวหว่านชิงส่ายหัว มองเขาทั้งน้ำตา “ ลุงเฉินค่ะ คุณแม่หนูล่ะ ”

“คุณแม่กลับมาแล้ว ”

“ จริงหรอคะ ”

“ จริงแน่นอนจ๊ะ ลุงเฉินเคยโกหกหนูที่ไหนล่ะ ”

ในที่สุดบนใบหน้ากลมของเสียวหว่านชิงก็ปรากฏรอยยิ้มเต็มไปหมด จ้องมองเขาแล้วพูดว่า “ ลุงเฉินคะ หนูอยากกลับบ้านคะ ”

“ ตกลงคะ ลุงเฉินจะส่งหนูไปหาคุณพ่อตอนนี้เลย ” หนานกงเฉินยื่นมือออกไปที่เธอ “ มา เข้ามา ”

เสียวหว่านชิงที่ซ่อนตัวอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ในที่สุดก็วางมือน้อย ๆ ของเธอไว้ในฝ่ามือของเขา แล้วปล่อยให้เขาอุ้มตัวเองขึ้นจากเตียง

“โย้ ที่แท้เจ้าตัวเล็กชอบอยู่ใกล้ชิดคุณชายใหญ่*นี้เอง ” พี่เหออมยิ้มแล้วพูด “ ยังดีที่คุณชายใหญ่*ยังมีวิธี เมื่อกี้ฉันโอ่เธอเป็นครึ่งวันก็ยังเอาไม่อยู่ ”

เมื่อผู่เหลียนเหยาจากตระกูลเซิ่งกลับมาถึงที่ตระกูลหนานกง ก็ตรงไปยังห้องนอนของจูจู

ภายในห้องที่กว้างใหญ่นี้มีแสงสว่างอันน้อยนิด โดยรอบด้านทั้งหมดเต็มไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ แต่จูจูยังคงนอนคว่ำนิ่งอยู่บนเตียง ทันทีที่เห็นเธอ น้ำตาของจูจูก็ไหลออกมาไม่หยุด

“ พี่สะใภ้ พี่ยังโอเคไหม จูจูจ้องไปที่เธอ ได้ยินมาว่าพี่ชายตีพี่หรอ ทายาหรือยัง มาฉันช่วยพี่ทายา ”

จูจูกัดริมฝีปาก น้ำตาแห่งความเสียใจก็ไหลออกมา

“ ดูสิ ฉันเคยกับกำชับพี่แล้ว ในขณะที่พี่ชายยังมีอารมณ์โมโหอยู่พี่ยังกล้าไปยั่วยุเขา เขาจะตีพี่ได้ยังไง ” ผู่เหลียนเหยาหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะแล้วยื่นให้เธอ

จูจูไม่ได้รับทิชชู่จะเธอ แต่คว้ามือเธอที่ยื่นมาไว้ จ้องมองเธอพูดขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ เหลียนเหยา ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป ฉันต้องการหย่ากับหนานกงเฉิน ได้โปรดเธอช่วยฉันหน่อยได้ไหม ”

“ พี่พูดอะไรนะ ” ผู่เหลียนเหยามองเธอด้วยความตกใจ ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “พี่สะใภ้ นิสัยของพี่ชายพี่ใช่ว่าจะไม่รู้ดี เขาตีพี่เพราะอารมณ์โมโห รอให้เขาหายโกธรแล้วก็จะดีขึ้นเอง ”

“ไม่ใช่ ... ไม่ใช่แบบนี้ คุณย่าจะฆ่าฉัน ท่านจะใช้หัวใจของฉันไปช่วยชีวิตของคนอื่น ...” จูจูนิ่งไปครู่หนึ่ง รีบถามขึ้นมา “ ใช่แล้ว เหลียนเหยาเธอช่วยบอกฉันหน่อย ใครคือท่านผู้หญิงจิ้ง ที่คุณย่าตามหาคู่ครองที่ฟ้าลิขิตมาโดยตลอดก็เพื่อที่จะใช้รักษาเธอใช่ไหม เป็นอย่างนั้นจริงๆหรอ ”

“ พี่ไปได้ยินใครพูด ” ผู่เหลียนเหยามองเธออย่างสงสัย

“ เมื่อคืนนี้ฉันแอบได้ยิน,ตอนที่คุณย่าคุยกับหนานกงเฉิน”

“ แล้วพี่เชื่อไหม ”

“ แล้วฉันไม่สมควรที่จะเชื่อหรอ ” จูจูมองเธอด้วยน้ำตา

“ ท่านผู้หญิงจิ้งตายไปเป็นร้อยปีแล้ว

“ อะไรนะ” จูจูตกตะลึง

ผู่เหลียนเหยายิ้มและกล่าวว่า “ มีข่าวลือว่าอดีตชาติก่อนพี่ชายเป็นหนี้ผู้หญิงคนหนึ่่ง ทำให้เขาถูกสาป ให้ใช้ทั้งชีวิตนี้ของเขาชดใช้หนี้ ดังนั้นชาตินี้จะต้องหาคู่ครองฟ้าลิขิตของเขากลับมา และผู้หญิงที่เขาเป็นหนี้ในอดีตชาติก่อนนั้นเธอชื่อ อะไรจิ้งฉี นั่นก็คือท่านผู้หญิงจิ้งที่เขาเล่าลือกัน ”

จูจูตะลึงอึงไปชั่วขณะ จึงถามว่า “ เธอหมายความว่า ... ท่านผู้หญิงจิ้งเป็นคนรักของหนานกงเฉินในอดีตชาติก่อน ยังเป็นอดีตชาติของไป๋มู่ชิง ”

ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า “ พี่เชื่อไหม กับฉันแล้วฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว ”

“ แล้วทำไมคุณย่ายังพูดแบบนั้นอีก บอกว่าหลังสามเดือนนี้จะใช้หัวใจของฉันช่วยท่านผู้หญิงจิ้ง ”

ผู่เหลียนเหยาเหลือบมองไปที่ประตูแล้ว พูดอย่างเสียงเบา “พูดอย่างไม่ให้ความเคารพ คุณย่าโดนข่าวลือพวกนี้ทรมาณจนงมงายไปแล้ว เชื่อฟังแต่คำพูดของท่านอาจารย์หวัง ”

“ แต่ ...ท่านผู้หญิงจิ้งตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ จะช่วยเขาได้อย่างไร ”

“ ร่างของท่านผู้หญิงจิ้งถูกเก็บไว้ในห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลหนานกงอย่างมิดชิด ” ผู่เหลียนเหยารีบทำท่าทางมือเงียบใส่เธอหลังจากพูดจบ “ ความลับนี้ นอกจากคนในตระกูลหนานกงที่รู้แล้วคนนอกไม่มีใครรู้ พี่ห้ามพูดออกไปเป็นอันขาดนะ ”

จูจูตกใจมากจนตาเบิกกว้าง รู้สึกตัวชาและตัวสั่นขึ้นมา

การเก็บรักษาศพเธอเคยเห็นเฉพาะในภาพยนตร์และในนิยายเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงเธอยังไม่เคยได้ยินมาก่อน

“เธอ……ทำไมเมื่อสองปีก่อนเธอไม่บอกเรื่องนี้กับฉัน ” จูจูจ้องที่เขาด้วยความรู้สึกโกรธและกลัว

“ ฉันคิดว่าพี่รู้ ”

“ ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร ”จูจูพูดอย่างโกรธ ๆ “ หนานกงเฉินไม่เคยบอกฉันเลย ยิ่งคุณผู้หญิงแล้วยิ่งไม่มีทางบอกฉันเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรอ ”

เมื่อผู่เหลียนเหยาเห็นว่าเธอกำลังโกรธ,ผู่เหลียนเหยาจึงรีบรลูบหลังมือเธอพูดอย่างปลอบใจ “ พี่อย่าพึ่งรีบกังวลไป พี่ลองคิดดูดีๆว่าคนที่ตายไปเป็นร้อยปี เป็นไปได้ไงที่จะช่วยฟื้นชีวิตกลับมาได้ เป็นเพราะคุณย่าหลงเชื่อเรื่องข่าวลือนั้นมากเกินไป จนสูญเสียความสามารถในการแยกแยะโดยพื้นฐานไป แต่พี่ชายยังคงมีสติอยู่ เขาจะไม่ปล่อยให้คุณย่าทำอะไรมั่วซั่ว พี่วางใจอยู่ที่นี้อย่างสบายอกสบายใจเถอะ ”

แม้ว่าผู่เหลียนเหยาจะคอยปลอบใจเธอว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอก็ตาม แต่จูจูก็ยังคงรู้สึกถึงความขนลุกไปทั่วร่างกาย

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยไปห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลหนานกง แต่ทุกครั้งที่ไปที่นั่นหลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษเสร็จเธอก็กลับมาแล้ว ไม่เคยสังเกตว่าภายในในห้องโถงบรรพบุรุษยังมีท่านผู้หญิงจิ้งอะไรอยู่

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยคนที่ตายไปเป็นร้อยปีแล้วให้ฟื้นขึ้นมา แน่นอนว่าเธอก็ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ แต่คุณผู้หญิงเชื่อนี่สิ

ผู่เหลียนเหยายังบอกให้เธออยู่ในตระกูลหนานกงอย่างสบายใจ ในสถานการณ์แบบนี้จะให้เธออยู่อย่างสบายใจได้อย่างไร

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ หนานกงเฉินก็ได้พาเสียวหว่านชิงมายังโรงพยาบาล เมื่อเห็นเฉียวเฟิง ในที่สุดใบหน้าของเสียวหว่านชิงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอตะโกนเรียกไปคำหนึ่ง แล้ววิ่งเข้าไปอย่างมีความสุข

เฉียวเฟิงอุ้มเธอขึ้นไปบนตักอย่างเคยชิน ในที่สุดก็มีรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเขา

เขายิ้มและลูบหัวน้อยๆของเธอ “ เมื่อคืนเป็นไงไม่ได้เจอหน้าพ่อกับแม่นอนหลับสบายดีไหม ”

เสียวหว่านชิงมองหนานกงเฉินไปแววหนึ่ง พยักหน้า “ นอนหลับสบายดีคะ ”

เพื่อไม่ให้จิตใจของเธอมีบาดแผล เมื่อกี้ตอนอยู่ในระหว่างทาง หนานกงเฉินได้ช่วยให้เธอลืมเรื่องเมื่อคืนที่ตกน้ำไปได้อย่างสำเร็จ

“คุณพ่อคะ ลุงเฉินบอกว่าคุณแม่ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ตอนนี้คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ ” เสียวหว่านชิงจ้องมองเฉียวเฟิงถามอย่างเป็นตุเป็นตะ

เฉียวเฟิงเหลือบมองไปตรงประตูห้องผู้ป่วยหนัก อดกั้นความรู้สึกพูดว่า “ คุณหมอบอกว่าเดียวคุณแม่ก็หายดีแล้วในเร็วๆนี้ หว่านชิงอย่ากังวลไปเลยนะ”

รอยถลอกบนหน้าผากของหว่านชิงดูเหมือนยังเจ็บปวดมาก เฉียวเฟิงดูไปที่บาดแผลของเธอถามอย่างปวดใจว่า “แผลบนศีรษะของหว่านชิงทายาหรือยัง ยังเจ็บอยู่ไหม”

“ ไม่เจ็บแล้วคะ ลุงเฉินได้ช่วยหว่านชิงทายาไปแล้วคะ ” เสียวหว่านชิงเหลือบไปมองหนานกงเฉินที่อยู่ข้างๆเธอขณะตอบ

เฉียวเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉินที่บนเก้าอี้ตรงข้าม พูดใส่เขาสั้นๆสองคำ “ ขอบคุณ ”

“ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ คุณเป็นคนบอกไม่ใช่หรอว่าฉันเป็นคนทำให้สองแม่ลูกนี้เป็นแบบนี้ ” หนานกงเฉินกล่าวอย่างเยื่อเย็น

นอกจากนี้แล้ว เขาทั้งสองคน ... ทั้งสองก็ไม่ได้มีการสื่อสารกันใดๆทั้งสิ้น

เฉียวเฟิงก้มศีรษะลงพูดกับเสียวหว่านชิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา “ หว่านชิง อีกสักพักพ่อจะให้คุณลุงมารับหนูกลับไปนะ หนูต้องเชื่อฟังและห้ามดื้อนะรู้ไหม ”

“ไม่เอาคะ หนูจะอยู่ที่นี้เป็นเพื่อนคุณแม่ หนูยังไม่ได้เจอคุณแม่เลย ” เสี่ยวว่านชิงพูดอย่างปฎิเสธ

“หว่านชิงไม่ดื้อนะ ในโรงพยาบาลสกปรกเชื้อโรคเยอะ หนูอยู่ที่นี้นานเกินไปไม่ได้”

“ แต่ว่า ... คนเขาอยากเจอคุณแม่นี่คะ ”

“ หนูวางใจได้ รอให้คุณแม่ตื่นมาก่อน พ่อจะให้คุณลุงส่งหนูมาพบคุณแม่อีกทีนะ”

ในที่สุดเสียวหว่านชิงก็ไม่ดื้อรั้นอีกต่อไป แต่กลับพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “โอเคคะ แต่หลังจากที่คุณแม่ตื่นขึ้นแล้ว คุณพ่อต้องให้หนูพบคุณแม่นะคะ ”

“ แน่นอนจ๊ะ” เฉียวเฟิงตอบตกลง

มีเสียวหว่านชิงเข้ามาเพิ่มคนหนึ่ง ในที่สุดภายในก็ไม่ได้เงียบสงบขณะนั้น ประมาณยี่สิบกว่านาทีต่อมาเฉียวซือเหิงก็มาถึง เขาเข้ามาทักทายหนานกงเฉินราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นยื่นมือไปหาเสียวหว่านชิง อุ้มเธอชู้ขึ้นไว้สูงๆ ขณะที่อุ้มชู้เธอไว้ที่สูงเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สมเพช หว่านชิง “ ที่น่าสงสารของลุง ดูหน้าผากเล็ก ๆ นี้ได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า จนเริ่มดูไม่คอยสวยแล้ว ”

“ คุณแม่บอกว่าบาดแผลของหนูเดียวก็หาย ” เสียวหว่านชิงพูดอย่างสีหน้าจริงจัง

“อืม ก็ถูก ” เฉียวซือเหิงพยักหน้า “ ว่านชิงฉลาดน่ารักขนาดนี้ ต่อให้ทิ้งแผลเป็นก็ยังสวยมาก ถ้าไม่เชื้อลองถามลุงเฉินดูว่าจริงหรือเปล่า ”

เสี่ยวหว่านชิงหันไปมองหนานกงเฉินทันที ถามอย่างจริงจังว่า:“ ลุงเฉิน จริงหรือเปล่าคะ ”

หนานกงเฉินขยับมุมฝีปากของเขาเล็กน้อย ฝืนยิ้มออกมาแล้วตอบว่า “ จริงสิ ไม่ว่าจะได้รับบาดแผลหรือไม่ หว่านชิงก็น่ารักที่สุดและสวยที่สุดครับ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด