เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 270

หนานกงเฉินเดินตามหลังเฉียวเฟิงเข้าไปในห้องพักผ่อน และไม่ต้องรอให้เฉียวเฟิงเอ่ยขึ้น เขาจ้องหน้าเฉียวเฟิงพร้อมชิงกล่าวขึ้นก่อน : “ฉันแค่อยากรู้ว่าระหว่างนายกับเหยียนเยว่อยู่ด้วยกันไเพราะความรับผิดชอบหรือว่าความรัก ฉันคิดว่าคงไม่มีทางเป็นอย่างหลังหรอกใช่ไหม ?”

เฉียวเฟิงไม่ได้ตอบคำถามเขาไปทันที ครั้นเดินไปนั่งลงบนโซฟาจากนั้นก็เริ่มอธิบาย : “ฉันกับเหยียนเยว่มีลูกกันตอนงานวันเกิดฉัน คืนนั้นพวกนายสองคนถูกนักข่าวกันไว้ที่โรงแรม เหยียนเยว่ถือเค้กมาหาฉันตามคำสั่งของคุณชายหนานกง จากนั้นก็ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉัน และดื่มไปดื่มมาก็ไม่ทันระวังไปดื่มบนเตียง ฉันกับเหยียนเยว่แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว เราตกลงกันว่าจะไม่เอาเรื่องคืนวันนั้นมาคิดใส่ใจ แล้วก็เลิกรากันโดยสันติ พร้อมทั้งคบกันแบบเป็นเพื่อนธรรมดาต่อไป”

“แต่ว่า……ขาของคุณพิการรุนแรงอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ?” ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ถามคำถามที่สงสัยอยู่ในใจมาตลอด

ขณะที่ถามคำถามนี้ อยู่ ๆ ภายในใจของเธอก็ผุดเป็นความรู้สึกผิดขึ้นมา นี่คือบาดแผลที่เธอไม่เคยคิดไปแตะต้องมาตลอด !

ครั้นเฉียวเฟิงไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขากล่าวขึ้นว่า : “พิการรุนแรงเป็นเพียงคำพูดเท็จที่ผมใช้เพื่อการเคารพและปกป้องคุณเท่านั้น เพราะว่าผมไม่อยากฉวยโอกาสตอนที่คุณความจำเสื่อมบุกรุกร่างกายของคุณ ผมได้แต่รอคอยคุณมาตลอด รอวันที่พวกเราสองคนต่างก็ยินยอมทั้งคู่เหมือนสามีภรรยาทั่วไป แต่รอไปจนถึงสุดท้ายกลับได้ผลลัพธ์ที่ว่าคุณยังคงรักหนานกงเฉินอยู่อย่างลึกซึ้งเหมือนเดิม”

“ขอโทษค่ะ……” ไป๋มู่ชิงรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งใจเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นคือรู้สึกผิด……

“เวลานี้ไม่จำเป็นต้องพูดขอโทษกับผมเลย เพราะว่าผมไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจภายหลังแล้ว” เฉียวเฟิงหัวเราะขึ้นเสียงเบา

ไป๋มู่ชิงมองดูใบหน้าที่ดูเหมือนจะเคร่งขรึม ครั้นหว่างคิ้วยังคงปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ ความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจจึงสลายไปไม่น้อย

จริงด้วย ตอนนี้เขามีลูกสาวแล้วไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว แถมยังเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยหน้าตาสละสลวยที่น่ารักกว่าหว่านชิงนิดหน่อยอีกด้วย เขาจะรู้สึกเสียดายหรือรู้สึกเสียใจภายหลังได้อย่างไร ?

เมื่อได้ยินคำพูดและได้เห็นรอยยิ้มที่อยู่นัยน์ตาของเขา ความรู้สึกผิดที่ไป๋มู่ชิงกดเอาไว้ในใจก็สลายหายไปโดยปริยายเช่นกัน

หลังจากที่เธอกลับมาอยู่ข้างกายหนานกงเฉินแล้วนั้น แม้ยามฝันเธอก็ยังหวังว่าสักวันเฉียวเฟิงต้องได้เจอกับความสุขของตัวเอง มีชีวิตที่มีความสุข คิดไม่ถึงว่าความปรารถนาของเธอจะกลายเป็นจริงรวดเร็วเพียงนี้ นี่เป็นเพียงเวลาหกเดือนเท่านั้นเขาก็มีข่าวดีได้เป็นพ่อคนแล้ว

“ขอบคุณนะคะ……” เธอนำคำขอโทษเปลี่ยนเป็นคำขอบคุณ

เฉียวเฟิงกลับยิ้มขึ้นมา : “คุณพูดขอบคุณกับผม ไม่กลัวคุณชายหนานกงไม่พอใจเหรอ ?”

ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปมองหนานกงเฉิน จากนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวจบด้วยดี : “ความจริงแล้วหลังจากที่คุณชายใหญ่เฉียวได้รับการลงโทษแล้ว คุณชายเฉินก็ลืมอดีตไปทั้งหมดแล้วค่ะ เขาไม่ไปคิดเรื่องที่ผ่านมาในอดีตอีกแล้วด้วย เฉิน ถูกต้องไหมคะ ?” เมื่อพูดถึงท้ายประโยค เธอจึงเปลี่ยนเป็นถามหนานกงเฉิน

หนานกงเฉินมองหน้าเฉียวเฟิง ครั้นไม่ได้ตอบคำถามไป๋มู่ชิง เขาถามขึ้นว่า : “แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวเหยียนเยว่ก็ท้องเลยงั้นเหรอ ? แล้วนายวางแผนว่าจะทำยังไงต่อไป ? แต่งงานกับเธอ ?”

“ดูเหมือนว่านายจะเป็นห่วงเธอมากนะ ?” เฉียวเฟิงยักคิ้วพร้อมถามกลับ

“เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉันต้องเป็นห่วงเธอสิ”

“ฉันต้องแต่งงานกับเธอแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องให้นายบอกหรอก” เฉียวเฟิงชายตามองเขาพร้อมกล่าวขึ้นอีก : “และก็ ความจริงแล้วฉันกับเหยียนเยว่เคยมีอะไรกันมากี่ครั้งก็ไม่จะเป็นต้องปิดบังนาย เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเรา การที่ฉันพูดเรื่องนี้ออกมา ก็เป็นเพราะไม่อยากให้มู่ชิงรู้สึกว่าตอนนั้นฉันหลอกลวงเธอ หักหลังเธอไปมีอะไรกับเหยียนเยว่ลับหลัง และไม่อยากให้พวกนายเข้าใจผิดว่าเหยียนเยว่เป็นคนที่ไม่รักตัวเองแบบนั้นด้วย”

เขาหยุดไปชั่วครู่ จากนั้นก็พูดขึ้นต่อ : “ตอนนั้นเหยียนเยว่อยากกลับอเมริกาจริง ๆ ฉันเป็นคนไปส่งเธอที่สนามบินเอง แต่เธอเป็นลมตอนที่ตรวจสัมภาระ ฉันเลยส่งเธอไปโรงพยาบาลแล้วได้ทราบว่าเธอตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว เธอเองก็ไม่รู้เรื่องที่ตัวเองท้องเหมือนกัน ฉันขอร้องให้เธอเก็บเด็กเอาไว้ และยินยอมเข้ารับการผ่าตัดขาให้ตัวเองยืนได้โดยเร็ว เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เธอตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อและไม่กล้าให้คนอื่นทราบเรื่อง”

“ท้องมาสามเดือนแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ?”

เฉียวเฟิงยิ้มอ่อน : “มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่าคนที่มีไอคิวสูงจะมีอีคิวต่ำ คนที่ทำงานเก่งความสามารถการใช้ชีวิตจะแย่ไม่ใช่เหรอ”

“จริง ๆ ด้วย……ใช้ไม่ได้เลย !” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้จนต้องหุบยิ้ม จากนั้นก็หันหน้าไปหาหนานกงเฉิน : “เหมือนคุณตอนนั้นเลย ท้องฉันโตแล้วคุณยังไม่รู้อีก”

หนานกงเฉินชายตามองเธอ : “ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับอีคิวหรือความสามารถการใช้ชีวิตเลยนะ”

“ถ้างั้นมันเกี่ยวกับอะไรล่ะ ?”

“เกี่ยวกับระดับความเชื่อใจคนหลอกลวงของฉัน” หนานกงเฉินกล่าว

ไป๋มู่ชิงเบ้ปาก ไม่กล่าวอันใดต่อ

เฉียวเฟิงมองสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาจะต้องรู้สึกเจ็บปวดหัวใจและเป็นทุกข์มากเป็นแน่ ทว่าวันนี้……เขาไม่รู้สึกอันใดแล้ว แถมยังมีความรู้สึกยินดีกับไป๋มู่ชิงด้วย ครั้นตอนนี้เขาเองไม่มีอารมณ์ที่จะมาคิดเรื่องของพวกเขาสองคนเท่าไร สิ่งที่เขาให้ความสนใจในตอนนี้นั้นก็คือภรรยาและลูกสาวที่อยู่ประตูถัดไปเท่านั้น

เขาลุกขึ้นจากโซฟาทันที : “ผมได้อธิบายให้พวกคุณฟังหมดแล้วนะ คืนนี้ขอบคุณการช่วยเหลือจากพวกคุณด้วยนะ ผมขอตัวกลับห้องผู้ป่วยก่อน”

“รอเดี๋ยว” หนานกงเฉินลุกขึ้นจากโซฟาตามเขาเช่นกัน จากนั้นก็จ้องหน้าเขาแล้วกล่าวว่า : “เหยียนเยว่ไม่มีญาติหรือเพื่อนฝูงอยู่ที่นี่เลย ฉันเป็นเจ้านายและเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ ตอนนั้นฉันเคยรับปากเธอไว้ว่าเมื่อรอให้เธออยากแต่งงานแล้วฉันจะสนับสนุนให้เธอแต่งงานเต็มท่ี่ เพราะงั้น……ในเมื่อเหยียนเยว่มีลูกสาวให้นายแล้ว ฉันหวังว่านายจะจัดงานแต่งงานในเร็ว ๆ นี้ ให้สถานะที่เป็นตัวเป็นตนกับเธอ”

เฉียวเฟิงลังเลไปชั่วครู่ค่อยพยักหน้า : “ฉันรู้”

เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่ารอให้เฉียวซือเหิงออกจากคุกมาแล้วค่อยจัดงานแต่งงาน ถึงอย่างไรเฉียวซือเฟิงก็เป็นญาติเพียงผู้เดียวบนโลกนี้ของเขา ทว่าขณะที่เขาไปเยี่ยมเฉียวซือเหิงที่เรือนจำเมื่อสองสามวันก่อน เฉียวซือเหิงเองก็หวังว่าเขาจะจัดงานแต่งให้เหยียนเยว่โดยเร็วเช่นเดียวกัน เพื่อให้ครอบครัวอันสมบูรณ์กับเธอและลูก

หลังจากที่เห็นเฉียวเฟิงกลับห้องผู้ป่วยไปแล้ว ไป๋มู่ชิงและหนานกงเฉินเองก็เดินออกจากห้องพักผ่อนไปเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาลไป

ขณะที่ทั้งคู่ขึ้นรถมาก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว ซึ่งเลยเวลานอนหลับพักผ่อนไปแล้ว ไป๋มู่ชิงกลับยังคงรู้สึกตื่นเต้นอย่างเป็นพิเศษเช่นเคย ความง่วงไม่มีแม้แต่ปลายเล็บ

หนานกงเฉินหันหน้าไปมองเธอพร้อมยิ้มอ่อนขึ้น : “ดีใจเชียวนะ เหมือนว่าคนที่เพิ่งคลอดลูกเป็นเธอเลย”

“ฉันก็แค่คิดว่าเรื่องนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นตาหยี : “นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาสองคนจะบรรจบอยู่ด้วยกันได้”

“อืม ดูเหมือนว่าตอนนั้นที่ฉันจงใจให้นักข่าวมากันฉันไว้เป็นการกระทำที่ถูกต้องนะ” หนานกงเฉินพยักหน้า

“ฮะ ? คุณว่าอะไรนะ ? คุณเป็นคนเรียกนักข่าวมาในตอนนั้นเองเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงตกตะลึงไป ที่แท้ยังมีเรื่องจริงเช่นนี้เหลืออยู่อีกหรือนี่ ?

“ฉันไม่ได้เป็นคนเรียกมา แต่ฉันเป็นคนให้พวกเขาอยู่ต่างหาก” หนานกงเฉินมองหน้าเธอ : “ไม่อย่างนั้นเธอคิดว่ายามรักษาการของโรงแรมไร้น้ำยาหรือไง ? ถึงได้ให้นักข่าวกลุ่มนั้นเข้ามาก่อความวุ่นวายตามใจชอบแบบนั้นได้ ?”

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดชั่วครู่ : “ดูเหมือนว่าจะจริงอย่างที่คุณว่า ทำไมตอนนั้นฉันไม่คิดถึงเรื่องนี้เลยนะ ?”

“เพราะเธอไม่อยากจากฉันไปเลยแม้แต่น้อยไงล่ะ” หนานกงเฉินกล่าวตัดบทเธอ

“ฉันเปล่าสักหน่อย” ไป๋มู่ชิงโต้กลับด้วยสันชาตญาณ ตอนนั้นทั้งที่เธอเร่งรีบในการกลับไปฉลองวันเกิดให้เฉียวเฟิงมาก จะสมรู้ร่วมคิดกับเขาในการถูกนักข่าวกีดกันอยู่ที่โรงแรมได้อย่างไรกัน

ทว่าเมื่อมาครุ่นคิดอย่างละเอียดดูนั้น โชคชะตาช่างเล่นตลกเสียจริง คิดไม่ถึงเลยว่าเฉียวเฟิงจะได้รับความสุขในวันนี้จากค่ำคืนที่เขาสิ้นหวังมากที่สุด !

หนานกงเฉินยิ้มอ่อน ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ

ไป๋มู่ชิงจึงกล่าวพึมพำขึ้นกับตัวเอง : “ดีจริง ๆ ในที่สุดเฉียวเฟิงก็เจอครึ่งหนึ่งของตัวเองแล้ว แถมยังเป็นเลขาเหยียนที่ทั้งฉลาดและสวยอีกด้วย ในที่สุดฉันก็ไม่ต้องรู้สึกเสียใจเพราะรู้สึกติดค้างเขาอีกแล้ว เฉียวเฟิงเป็นคนที่ใส่ใจผู้อื่นขนาดนั้น พวกเขาจะต้องมีชีวิตที่มีความสุขแน่นอน”

หนานกงเฉินหันหน้ามองเธอ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ : “อย่าพูดอะไรที่ทำให้ฉันคิดไปเองแบบนี้จะได้ไหม ?”

“อะไรกัน ?”

“อย่างเช่นเฉียวเฟิงเป็นคนใส่ใจผู้อื่นมาก เธอกำลังเตือนสติฉันว่าเธอเคยอยู่กับเขามาก่อนหรือไง ?” หนานกงเฉินหยุดรถเนื่องจากติดไฟแดง จากนั้นก็ใช้นิ้วมือบีบไปยังคางของเธอ

ไป๋มู่ชิงเอือมละอา : “คุณคิดมากไปเองต่างหาก”

หนานกงเฉินยักไหล่ด้วยความรู้สึกเอือมละอา ก็ได้ เขายอมรับว่าตัวเองคิดมากเกินไป

เขาเห็นว่าขาของเฉียวเฟิงหายดีแล้ว จึงเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว เพราะเมื่อก่อนเฉียวเฟิงหลงรักไป๋มู่ชิงมาก

--

เนื่องจากเหยียนเยว่เหน็ดเหนื่อยเกินไป จึงนอนตื่นขึ้นมาเมื่อยามเช้าตรู่วันถัดมา อีกทั้งยังตื่นเนื่องจากเสียงร้องไห้ของเด็กทารกอีกด้วย

ขณะที่ตื่นขึ้นมาเธอรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เมื่อลูบดูหน้าท้องของตัวเองถึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองเพิ่งจะคลอดลูกไป เธอหันหน้าไปจึงเห็นเฉียวเฟิงกำลังเรียนรู้การอุ้มลูกอยู่กับคุณครูเด็กแรกเกิดอยู่

คุณครูเด็กแรกเกิดกล่าวว่า : “ความจริงแล้วคุณพ่ออุ้มลูกได้สบายกว่าคุณแม่นะคะ เพราะว่าแขนของคุณพ่อหนากว่า ลูกน้อยพิงแล้วสบายค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ ? มิน่าล่ะเมื่อลูกอยู่ในอ้อมกอดของผมก็หยุดร้องไปเลย” เฉียวเฟิงกล่าวพร้อมฉีกยิ้มขึ้น

เหยียนเยว่มองสีหน้าอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขา จึงยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็เรียกเขา : “เฟิงคะ……”

เมื่อเฉียวเฟิงได้ยินเสียงเรียกของเธอจึงหันหน้าไปหา พร้อมยิ้มให้เธอทันที : “ตื่นแล้วเหรอ ?”

“ค่ะ อุ้มลูกเข้ามาให้ฉันดูหน่อยค่ะ” เหยียนเยว่โบกมือให้เขา

เฉียวเฟิงจึงอุ้มลูกเข้าไปหาเธออย่างระมัดระวัง พร้อมวางลงข้างหมอน : “ดูสิ ลูกเพิ่งคลอดออกมาก็ลืมตาได้แล้ว”

เหยียนเยว่พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นพลางมองสำรวจลูกสาวตนเอง เมื่อมองเป็นเวลาเนิ่นนานแล้วจึงเงยหน้ามองเฉียวเฟิงแล้วกล่าวว่า : “ทำไมลูกถึงหน้าไม่เหมือนฉันเลยล่ะคะ”

“ลูกน้อยหน้าตาเหมือนพ่อค่ะ แค่ดูครั้งแรกก็มองออกเลย” คุณครูเด็กแรกเกิดที่อยู่ข้าง ๆ ยิ้มขึ้นพร้อมพูดแทรกขึ้นมา

เฉียวเฟิงยิ้มพร้อมกล่าวปลอบประโยน : “ลูกยังเด็กอยู่เลย โตแล้วหน้าตาก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในอนาคตจะต้องโตขึ้นสวยเหมือนคุณแน่นอน”

“ความจริงแล้วเด็กหน้าเหมือนคุณพ่อดีมากเลยนะคะ คุณพ่อหน้าตาหล่อมากเลย” คุณครูเด็กทารกกล่าวแทรกขึ้นอีกครั้ง

เฉียวเฟิงหันหน้าไปทำมือให้เธอหยุดพูด คุณครูเด็กทารกจึงรู้ตัวแล้วเงียบไปทันที

เหยียนเยว่ยิ้มขึ้นอย่างสบาย ๆ พร้อมกล่าวว่า : “พี่สาวพูดถูก หน้าตาเหมือนคุณพ่อก็ดีมากเหมือนกัน อีกทั้ง……” เธอยิ้มขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ใช้คางชี้ไปยังใบหน้าน้อย ๆ ของลูก : “ดูแก้มเล็ก ๆ นี่สิ คุณไม่ต้องไปตรวจดีเอ็นเอเลยด้วยซ้ำ”

“พูดอะไรโง่ ๆ ผมไม่เคยคิดจะไปตรวจตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เฉียวเฟิงยกมือขึ้นผลักหน้าผากของเธอ : “คุณเคยเห็นผมสงสัยในตัวคุณมาก่อนด้วยหรือไง ?”

“เค้าก็แค่ล้อเล่นเอง” เหยียนเยว่โอบลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นก็ลูบแก้มของเธอเบา ๆ พร้อมกล่าวขึ้นอย่างมีความสุขว่า : “ผิวขาวนุ่มนิ่ม ลูบแล้วสบายมือมากเลย”

“แก้มของลูกนิ่มเกินไป ห้ามลูบซี้ซั้วนะ” เฉียวเฟิงกุมมือของเธอเอาไว้ พร้อมกล่าวขึ้นด้วยความใส่ใจ : “เอาล่ะ คุณไม่ได้ทานอะไรมานานแล้วนะ ทานอะไรเพื่อพักฟื้นเรี่ยวแรงหน่อยดีไหม ?”

เหยียนเยว่พยักหน้า ความจริงแล้วเธอรู้สึกหิวมาตั้งแต่เช้าแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด