หนานกงเฉินเดินตามหลังเฉียวเฟิงเข้าไปในห้องพักผ่อน และไม่ต้องรอให้เฉียวเฟิงเอ่ยขึ้น เขาจ้องหน้าเฉียวเฟิงพร้อมชิงกล่าวขึ้นก่อน : “ฉันแค่อยากรู้ว่าระหว่างนายกับเหยียนเยว่อยู่ด้วยกันไเพราะความรับผิดชอบหรือว่าความรัก ฉันคิดว่าคงไม่มีทางเป็นอย่างหลังหรอกใช่ไหม ?”
เฉียวเฟิงไม่ได้ตอบคำถามเขาไปทันที ครั้นเดินไปนั่งลงบนโซฟาจากนั้นก็เริ่มอธิบาย : “ฉันกับเหยียนเยว่มีลูกกันตอนงานวันเกิดฉัน คืนนั้นพวกนายสองคนถูกนักข่าวกันไว้ที่โรงแรม เหยียนเยว่ถือเค้กมาหาฉันตามคำสั่งของคุณชายหนานกง จากนั้นก็ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉัน และดื่มไปดื่มมาก็ไม่ทันระวังไปดื่มบนเตียง ฉันกับเหยียนเยว่แค่ครั้งนั้นครั้งเดียว เราตกลงกันว่าจะไม่เอาเรื่องคืนวันนั้นมาคิดใส่ใจ แล้วก็เลิกรากันโดยสันติ พร้อมทั้งคบกันแบบเป็นเพื่อนธรรมดาต่อไป”
“แต่ว่า……ขาของคุณพิการรุนแรงอยู่ไม่ใช่เหรอคะ ?” ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ถามคำถามที่สงสัยอยู่ในใจมาตลอด
ขณะที่ถามคำถามนี้ อยู่ ๆ ภายในใจของเธอก็ผุดเป็นความรู้สึกผิดขึ้นมา นี่คือบาดแผลที่เธอไม่เคยคิดไปแตะต้องมาตลอด !
ครั้นเฉียวเฟิงไม่ได้สนใจเลยสักนิด เขากล่าวขึ้นว่า : “พิการรุนแรงเป็นเพียงคำพูดเท็จที่ผมใช้เพื่อการเคารพและปกป้องคุณเท่านั้น เพราะว่าผมไม่อยากฉวยโอกาสตอนที่คุณความจำเสื่อมบุกรุกร่างกายของคุณ ผมได้แต่รอคอยคุณมาตลอด รอวันที่พวกเราสองคนต่างก็ยินยอมทั้งคู่เหมือนสามีภรรยาทั่วไป แต่รอไปจนถึงสุดท้ายกลับได้ผลลัพธ์ที่ว่าคุณยังคงรักหนานกงเฉินอยู่อย่างลึกซึ้งเหมือนเดิม”
“ขอโทษค่ะ……” ไป๋มู่ชิงรู้สึกประทับใจและซาบซึ้งใจเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นคือรู้สึกผิด……
“เวลานี้ไม่จำเป็นต้องพูดขอโทษกับผมเลย เพราะว่าผมไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจภายหลังแล้ว” เฉียวเฟิงหัวเราะขึ้นเสียงเบา
ไป๋มู่ชิงมองดูใบหน้าที่ดูเหมือนจะเคร่งขรึม ครั้นหว่างคิ้วยังคงปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้ ความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจจึงสลายไปไม่น้อย
จริงด้วย ตอนนี้เขามีลูกสาวแล้วไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว แถมยังเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยหน้าตาสละสลวยที่น่ารักกว่าหว่านชิงนิดหน่อยอีกด้วย เขาจะรู้สึกเสียดายหรือรู้สึกเสียใจภายหลังได้อย่างไร ?
เมื่อได้ยินคำพูดและได้เห็นรอยยิ้มที่อยู่นัยน์ตาของเขา ความรู้สึกผิดที่ไป๋มู่ชิงกดเอาไว้ในใจก็สลายหายไปโดยปริยายเช่นกัน
หลังจากที่เธอกลับมาอยู่ข้างกายหนานกงเฉินแล้วนั้น แม้ยามฝันเธอก็ยังหวังว่าสักวันเฉียวเฟิงต้องได้เจอกับความสุขของตัวเอง มีชีวิตที่มีความสุข คิดไม่ถึงว่าความปรารถนาของเธอจะกลายเป็นจริงรวดเร็วเพียงนี้ นี่เป็นเพียงเวลาหกเดือนเท่านั้นเขาก็มีข่าวดีได้เป็นพ่อคนแล้ว
“ขอบคุณนะคะ……” เธอนำคำขอโทษเปลี่ยนเป็นคำขอบคุณ
เฉียวเฟิงกลับยิ้มขึ้นมา : “คุณพูดขอบคุณกับผม ไม่กลัวคุณชายหนานกงไม่พอใจเหรอ ?”
ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปมองหนานกงเฉิน จากนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวจบด้วยดี : “ความจริงแล้วหลังจากที่คุณชายใหญ่เฉียวได้รับการลงโทษแล้ว คุณชายเฉินก็ลืมอดีตไปทั้งหมดแล้วค่ะ เขาไม่ไปคิดเรื่องที่ผ่านมาในอดีตอีกแล้วด้วย เฉิน ถูกต้องไหมคะ ?” เมื่อพูดถึงท้ายประโยค เธอจึงเปลี่ยนเป็นถามหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินมองหน้าเฉียวเฟิง ครั้นไม่ได้ตอบคำถามไป๋มู่ชิง เขาถามขึ้นว่า : “แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวเหยียนเยว่ก็ท้องเลยงั้นเหรอ ? แล้วนายวางแผนว่าจะทำยังไงต่อไป ? แต่งงานกับเธอ ?”
“ดูเหมือนว่านายจะเป็นห่วงเธอมากนะ ?” เฉียวเฟิงยักคิ้วพร้อมถามกลับ
“เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉันต้องเป็นห่วงเธอสิ”
“ฉันต้องแต่งงานกับเธอแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องให้นายบอกหรอก” เฉียวเฟิงชายตามองเขาพร้อมกล่าวขึ้นอีก : “และก็ ความจริงแล้วฉันกับเหยียนเยว่เคยมีอะไรกันมากี่ครั้งก็ไม่จะเป็นต้องปิดบังนาย เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเรา การที่ฉันพูดเรื่องนี้ออกมา ก็เป็นเพราะไม่อยากให้มู่ชิงรู้สึกว่าตอนนั้นฉันหลอกลวงเธอ หักหลังเธอไปมีอะไรกับเหยียนเยว่ลับหลัง และไม่อยากให้พวกนายเข้าใจผิดว่าเหยียนเยว่เป็นคนที่ไม่รักตัวเองแบบนั้นด้วย”
เขาหยุดไปชั่วครู่ จากนั้นก็พูดขึ้นต่อ : “ตอนนั้นเหยียนเยว่อยากกลับอเมริกาจริง ๆ ฉันเป็นคนไปส่งเธอที่สนามบินเอง แต่เธอเป็นลมตอนที่ตรวจสัมภาระ ฉันเลยส่งเธอไปโรงพยาบาลแล้วได้ทราบว่าเธอตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว เธอเองก็ไม่รู้เรื่องที่ตัวเองท้องเหมือนกัน ฉันขอร้องให้เธอเก็บเด็กเอาไว้ และยินยอมเข้ารับการผ่าตัดขาให้ตัวเองยืนได้โดยเร็ว เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เธอตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อและไม่กล้าให้คนอื่นทราบเรื่อง”
“ท้องมาสามเดือนแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ?”
เฉียวเฟิงยิ้มอ่อน : “มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่าคนที่มีไอคิวสูงจะมีอีคิวต่ำ คนที่ทำงานเก่งความสามารถการใช้ชีวิตจะแย่ไม่ใช่เหรอ”
“จริง ๆ ด้วย……ใช้ไม่ได้เลย !” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้จนต้องหุบยิ้ม จากนั้นก็หันหน้าไปหาหนานกงเฉิน : “เหมือนคุณตอนนั้นเลย ท้องฉันโตแล้วคุณยังไม่รู้อีก”
หนานกงเฉินชายตามองเธอ : “ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับอีคิวหรือความสามารถการใช้ชีวิตเลยนะ”
“ถ้างั้นมันเกี่ยวกับอะไรล่ะ ?”
“เกี่ยวกับระดับความเชื่อใจคนหลอกลวงของฉัน” หนานกงเฉินกล่าว
ไป๋มู่ชิงเบ้ปาก ไม่กล่าวอันใดต่อ
เฉียวเฟิงมองสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนเขาจะต้องรู้สึกเจ็บปวดหัวใจและเป็นทุกข์มากเป็นแน่ ทว่าวันนี้……เขาไม่รู้สึกอันใดแล้ว แถมยังมีความรู้สึกยินดีกับไป๋มู่ชิงด้วย ครั้นตอนนี้เขาเองไม่มีอารมณ์ที่จะมาคิดเรื่องของพวกเขาสองคนเท่าไร สิ่งที่เขาให้ความสนใจในตอนนี้นั้นก็คือภรรยาและลูกสาวที่อยู่ประตูถัดไปเท่านั้น
เขาลุกขึ้นจากโซฟาทันที : “ผมได้อธิบายให้พวกคุณฟังหมดแล้วนะ คืนนี้ขอบคุณการช่วยเหลือจากพวกคุณด้วยนะ ผมขอตัวกลับห้องผู้ป่วยก่อน”
“รอเดี๋ยว” หนานกงเฉินลุกขึ้นจากโซฟาตามเขาเช่นกัน จากนั้นก็จ้องหน้าเขาแล้วกล่าวว่า : “เหยียนเยว่ไม่มีญาติหรือเพื่อนฝูงอยู่ที่นี่เลย ฉันเป็นเจ้านายและเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ ตอนนั้นฉันเคยรับปากเธอไว้ว่าเมื่อรอให้เธออยากแต่งงานแล้วฉันจะสนับสนุนให้เธอแต่งงานเต็มท่ี่ เพราะงั้น……ในเมื่อเหยียนเยว่มีลูกสาวให้นายแล้ว ฉันหวังว่านายจะจัดงานแต่งงานในเร็ว ๆ นี้ ให้สถานะที่เป็นตัวเป็นตนกับเธอ”
เฉียวเฟิงลังเลไปชั่วครู่ค่อยพยักหน้า : “ฉันรู้”
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่ารอให้เฉียวซือเหิงออกจากคุกมาแล้วค่อยจัดงานแต่งงาน ถึงอย่างไรเฉียวซือเฟิงก็เป็นญาติเพียงผู้เดียวบนโลกนี้ของเขา ทว่าขณะที่เขาไปเยี่ยมเฉียวซือเหิงที่เรือนจำเมื่อสองสามวันก่อน เฉียวซือเหิงเองก็หวังว่าเขาจะจัดงานแต่งให้เหยียนเยว่โดยเร็วเช่นเดียวกัน เพื่อให้ครอบครัวอันสมบูรณ์กับเธอและลูก
หลังจากที่เห็นเฉียวเฟิงกลับห้องผู้ป่วยไปแล้ว ไป๋มู่ชิงและหนานกงเฉินเองก็เดินออกจากห้องพักผ่อนไปเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาลไป
ขณะที่ทั้งคู่ขึ้นรถมาก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว ซึ่งเลยเวลานอนหลับพักผ่อนไปแล้ว ไป๋มู่ชิงกลับยังคงรู้สึกตื่นเต้นอย่างเป็นพิเศษเช่นเคย ความง่วงไม่มีแม้แต่ปลายเล็บ
หนานกงเฉินหันหน้าไปมองเธอพร้อมยิ้มอ่อนขึ้น : “ดีใจเชียวนะ เหมือนว่าคนที่เพิ่งคลอดลูกเป็นเธอเลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...