Sign in Buddha’s palm 121 คืนพระจันทร์เต็มดวง เทพกระบี่วิวาท
ตําหนักไปฉี
ขุนนางพลเรือนและขุนนางฝ่ายทหารต่างก็นิ่งเงียบ
แม้ว่ายอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดทุกคนจะอยู่ในตําแหน่งที่มีอํานาจ อยู่แล้ว แต่มันก็มีความแตกต่างระหว่างระดับสูงและระดับที่ต่ำกว่าอยู่
และเย่กู้เฉิงเจ้าเมืองไป๋หยุน เป็นหนึ่งในผู้ที่ทรงพลังที่สุดในตําแหน่งที่สูงที่สุด
เพราะสิ่งที่เย่กู้เฉิงฝึกฝนคือวิถีแห่งดาบและกระบี่
แต่เดิมวิถีกระบี่ก็เป็นจ้าวแห่งการสังหารและการจู่โจมอยู่แล้ว และเย่กู้เฉิงก็เป็นอันดับหนึ่งในเรื่องของความเฉียบคมของกระบี่ เก่งกาจในด้านการโจมตี เกรงว่าพลังของมันคงจะใกล้เคียงกับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่แปรสภาพพลังไปสามอย่างแล้ว
เหล่าสภาขุนนางไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองไป๋หยุนอย่างเยู่กู้เฉิง
หากเย่กู้เฉิงต้องการสิ่งของอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นทองคํานับหมื่นตําลึง หรืออยากจะได้ตําแหน่งเทียบเท่าองค์ชาย ก็เป็นเรื่องที่พอจะพูดคุยกันได้
แต่เรื่องการยืมใช้วัง
รู้หรือไม่ว่าพระราชวังถังก็คือหน้าตาของอาณาจักรถัง หากเย่กู้เฉิงเพิ่งได้รับอนุญาตอาณาจักรถังอาจจะต้องถูกหัวเราะเยาะจากคนทั้งโลก พวกเขาไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้อีกต่อ
อาณาจักรถังก่อตั้งมามากกว่าห้าร้อยปี พวกเขาเคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?
“พี่ชายชุยเฉว่?”
“ใช่ซีเหมินชุยเฉวร์เปล่า?”
เหล่าข้าราชบริพารต่างพึมพําอยู่กับตนเอง ทันใดนั้นผิวของพวกเขาก็ยิ่งซีดลงไปอีก
เห็นได้ชัดว่าเหล่าขุนนางได้ตระหนักถึงบางสิ่ง และมันร้ายแรงจนยากเกินกว่าที่พวกเขาจะซ่อนเร้นการแสดงออก
สําหรับตัวตนของคนที่เจ้าเมืองไป๋หยุนเรียกขานว่า “พี่ชายชุยเฉว่” เกรงว่าจะมีเพียงคนเดียวนั่นคือปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ถูกกล่าวขานว่าใกล้เคียงเทพเจ้า” ที่สุด คือ ซีเหมินชุยเฉวผู้นี้
“ทําเช่นไรดี?”
เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ
หากมีเพียงเย่กู้เฉิงคนเดียว ด้วยภูมิหลังในปัจจุบัน ของอาณาจักรถังบางที่อาจจะพอต้านทานได้
แต่เมื่อรวมเข้ากับซีเหมินชุยเฉว่…
เหล่าข้าราชบริพารต่างสั่นสะท้านใจไปถ้วนทั่ว
จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงถอนหายใจออกมา เบาๆ เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้
นี่คือข้อเสียเปรียบใหญ่ที่อาณาจักรถังกําลังเผชิญ ปัจจุบันพวกเขาไม่มียอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด
นับตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิพระองค์ก่อน จ้าวกงกงซึ่งเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเพียงคนเดียวภายในวังหลวงก็ได้สิ้นชีพจากไปเช่นกัน
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา จักรพรรดิหลี่เชิงต้องการที่จะฝึกฝนยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีความหวังเลย
แม้ว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงจะใช้ทรัพยากรของอาณาจักรถังจนหมด แต่ผลลัพธ์ก็ยังเชื่องช้าอยู่มาก
ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดต้องบ่มเพาะจนแปรสภาพพลังด้วยตนเอง เว้นแต่จะมีสมบัติหายากอย่างเช่น โอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ …
นอกจากนี้แม้ว่าจะมีโอสถควบรวมไอศักดิ์สิทธิ์จริง แต่ก็ต้องฝึกฝน “พลังศักดิ์สิทธิ์” ไปให้ถึงขีดสุดด้วย ถึงจะได้รับประโยชน์
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คงทําได้เพียงพึ่งพาตนเอง อิทธิพลของสิ่งของภายนอกแทบจะกลายเป็นสิ่งไม่สําคัญไปเสีย
แม้ว่าองค์จักรพรรดิหลี่เชิงจะเดาได้บ้างว่าผู้ที่สังหารราชาหรูหยางแห่งหนานหมิงและอินจิ๋วฝด้วยเสียงภู่ฉินในตอนนั้นอาจจะเป็นยอดฝีมือผู้ทรงพลังจนไม่มีใครเทียบ
แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อนเลยจนถึงตอนนี้และไม่แน่ใจด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมืออีกไหม
บางทียอดฝีมือที่แข็งแกร่งผู้นั้นอาจจะเป็นคนที่บังเอิญผ่านมาทางวังหลวงแล้วก็จากไป?
ไม่ว่าจะในกรณีใด จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงก็จะไม่เอาความหวังของเขาไปลงกับสิ่งที่ไม่แน่นอน
เพราะตัวเขาคือจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถัง!
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่น…”
เมื่อขุนนางคนหนึ่งเห็นความมุ่งมั่นบนใบหน้าของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ เขาก็คุกเข่าลงและพยายามเกลี้ยกล่อมในทันที
เหตุใดขุนนางเหล่านี้จะไม่เข้าใจความพยายามในการยั่วยุของเยกู้เฉิง?
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดถึงสองคนที่กล่าวขานกันว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้านความแข็งแกร่ง ด้วยสถานะปัจจุบันของต้าถัง พวกเขาไม่สามารถทานทนต่อเรื่องราวครั้งใหญ่เช่นนี้ได้
“หุนหันพลันแล่น?”
“เย่กู้เฉิงแทบจะเหยียบหน้าข้าอยู่แล้ว จะบอกว่าข้าเป็นคนหุนหันพลันแล่นเช่นนั้นหรือ?”
จักรพรรดิพระองค์ใหม่อย่างหลี่เชิงยังคงเดินไปเดินมา เสียงของเขาทุ่มต่ำลง
ทุกวันนี้นานาประเทศเหมือนจะหยุดสงครามกันไป แต่อาณาจักรถังซึ่งครอบครองที่ราบภาคกลางอันกว้างใหญ่ และอุดมสมบูรณ์ ไม่รู้ว่ามีกี่อาณาจักรที่หมายตาที่แห่งนี้เอาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]