เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] นิยาย บท 177

Sign in Buddha’s palm 177 ถ่ายทอดวิชา

“เลือก?”

ซูชื่อหมินและคนอื่นๆ ในตระกูลซูต่างมองหน้ากัน รู้สึกได้เพียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นเท่านั้น พวกเขารู้ดีว่าการตัดสินใจในครั้งนี้จะเป็นตัวกําหนดชะตาชีวิตของพวกเขาต่อจากนี้ไป

“ข้าเลือกเส้นทางการฝึกยุทธ”

ซูชื่อหมินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวตอบอย่างจริงจัง

ก่อนที่ตระกูลซูจะกลายมาเป็นพระญาติขององค์จักรพรรดิ เดิมก็เป็นตระกูลจอมยุทธมาก่อน และซูชื่อหมินเองก็เป็นเสาหลักของตระกูลซูนี้

อาจกล่าวได้ว่าท่ามกลางทุกผู้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เขาเป็นผู้ที่แสวงหาแนวทางในการฝึกยุทธมากที่สุด

“ข้าก็ต้องการจะฝึกฝนเช่นกัน”

คู่พี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ก็พูดขึ้นพร้อมกัน

“แล้วพวกเจ้าล่ะ?” ซูฉินหันไปมองที่จักรพรรดิถังและซูเยว่หยุน

“พี่สาม ช่วยรอข้าอีกสักยี่สิบปีได้ไหม ข้าอยากรอจนกว่าอาณาจักรถังจะสงบลงเสียก่อน แล้วจึงส่งมอบบัลลังก์ต่อให้กับหยวนเอ๋อ จากนั้นข้าค่อยกลับมาฝึกฝนได้หรือไม่?

สุดท้ายแล้ว จักรพรรดิถังก็ยังกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปในอาณาจักรถัง จึงถามขึ้นด้วยเสียงทุ่มต่ำ

“แบบนั้นก็ได้”

ซูฉินพยักหน้า

ยี่สิบปีต่อจากนี้ จักรพรรดิถังก็อายุราวหกสิบปีเศษ หากเป็นคนอื่นๆ ก็คงนับว่าพลาดจุดที่ดีที่สุดในการฝึกฝนวิทยายุทธไปแล้ว แต่สําหรับซูฉินมันแก้ไขได้ด้วยหยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาเพียงหยดเดียวเท่านั้น

หยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาทรงพลังยิ่ง ถึงแม้มันจะไม่มีผลต่อซูฉิน แต่ในสายตาของคนทั่วไปหรือแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันคือโอสถวิเศษที่แสนล้ำค่า

“พี่สาม ข้าอยากจะอยู่ร่วมกับฝ่าบาท”

ซูเยวหยุนเหลือบมองจักรพรรดิถังและเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“ได้”

แน่นอนว่าซูฉินไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

ไม่เหมือนกับกรณีของคนอื่นๆ ซูเยว่หยุนดูดซับหยดน้ำจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาไปหนึ่งหยดแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงการรั้งรอไปยี่สิบปี แม้แต่สี่สิบปีก็ยังไหว

“ในเมื่อทุกคนต้องการจะฝึกฝน”

“ข้ามีเรื่องที่จะเน้นย้ำอีกอย่างหนึ่ง”

ซูฉินเหลือบมองกลุ่มคนตรงหน้าแล้วพูดต่อ “แม้ว่าฟ้าดินจะเปลี่ยนแปลงไป มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่พวกเจ้าจะเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธ เรียกได้ว่ามีความหวังที่แสนจะริบหรี่ แต่ถึงความหวังจะน้อยนิด การจะบรรลุได้หรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง”

ขณะพูดซูฉินก็ส่ายศีรษะไปด้วย “หลังจากบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับชั้นที่หนึ่ง หากต้องการจะไปต่อ เจ้าต้องเข้าใจถึงพลังงานฟ้าดินเสียก่อน”

“ถึงแม้กระแสปราณฉีจะฟื้นตัวกลับมาแล้ว แต่ปริมาณปราณฉีก็เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น คงเป็นเรื่องของโชคและจังหวะโอกาสถึงจะสามารถจับจุดอะไรบางอย่างได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ข้าเองก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้เหมือนกัน”

สิ่งที่ซูฉินพูดล้วนเป็นความจริง

ถ้าเป็นช่วงก่อนที่กระแสปราณฉีจะฟื้นคืน จะมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเพียงคนเดียวในสองร้อยคนเท่านั้นที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธได้

แต่ในตอนนี้โอกาสได้เพิ่มขึ้น ในยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจํานวนหนึ่งร้อยคนจะมีสักหนึ่งคนที่ก้าวเข้าสู่ตํานานยุทธได้

ฟังดูเหมือนว่าโอกาสจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ในความจริงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจํานวนหนึ่งร้อยคนหมายความเช่นไร?

รู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้อาณาจักรเหมิ่งหยวนไม่มีตํานานยุทธกําเนิดขึ้นมาสองร้อยปีแล้ว

แม้ว่าราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนจะกระโดดข้ามขอบเขตนั้นมาได้ในที่สุด แต่ก็อาศัยการช่วยเหลือจากกระแสปราณฉีที่ฟื้นกลับมา

หากไม่มีกระแสปราณฉี คาดว่าราชครูเหมิงหยวนก็คงจะติดอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งไปจนตาย

หลังจากซูฉินกล่าวจบ เขาก็เฝ้ามองปฏิกิริยาของตระกูลซู

ไม่ได้จงใจดับฝัน แต่เขาไม่ต้องการจะเห็นทุกคนในตระกูลซูเต็มไปด้วยความคาดหวัง ไม่เช่นนั้นสิ่งที่พวกเขาจะต้องเผชิญย่อมจะเป็นความผิดหวัง

ซูชื่อหมินและคนอื่นๆ หันมามองหน้ากัน ตอนที่ซูฉินกล่าวออกมาเช่นนั้น ใจของพวกเขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เข้าใจแล้วว่าการเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธยากเย็นเพียงใด แม้จะฉวยโอกาสจากจังหวะที่โลกกําลังเปลี่ยนแปลงและมีการช่วยเหลือจากซูฉิน แต่ความหวังก็ยังมีอยู่น้อยนิด

อย่างไรก็ตาม หลังจากพูดคุยกันอยู่เป็นเวลานาน ทุกคนก็ตัดสินใจที่จะทุ่มสุดตัว

ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว การที่จะได้เป็นตํานานยุทธนั้นดึงดูดใจเหลือเกิน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น เพียงแค่ช่วงชีวิตยาวนานถึงห้าร้อยปีของตํานานยุทธก็เพียงพอที่จะทําให้ทุกคนต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา

เมื่อซูฉินเห็นว่าทุกคนตัดสินใจได้แล้ว ดังนั้นจึงถึงคราวที่จะต้องชี้แนะเคล็ดวิชาพวกเขาสักหน่อย

เคล็ดวิชาเหล่านี้ได้มาจากการลงชื่อเข้าใช้ตลอดยี่สิบสามสิบปีของซูฉิน แม้จะไม่ใช่วิชาลับที่วิเศษวิโสอะไร แต่ก็เป็นวิชาที่เหมาะสมกับตระกูลซูมากที่สุด

สําหรับสุดยอดเคล็ดวิชา แม้ซูฉินต้องการจะถ่ายทอดออกไป แต่ตระกูลซูก็คงไม่สามารถเรียนรู้มันได้

ตัวอย่างเช่น วิชาบ่มเพาะสายพุทธที่ซูฉินฝึกฝนอยู่ในปัจจุบันอย่าง พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล แม้ว่าจะส่งต้นฉบับคัมภีร์ไปให้ตระกูลซู แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น?

พวกเขาสามารถเข้าใจได้หรือไม่?

เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ไม่มีพุทธศาสนิกชนคนใดเรียนรู้พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลได้เลย นับประสาอะไรกับคนนอกเส้นทางสายนี้?

แม้แต่ซูฉินเองก็เข้าใจพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลได้เพราะระบบปลูกฝังข้อมูลทั้งหมดมาให้

การฝึกฝนบ่มเพาะนั้น ไม่ใช่สักแต่จะฝึกฝนวิชาที่แข็งแกร่ง สิ่งที่สําคัญกว่าคือสิ่งที่ฝึกฝนเหมาะสมกับตนเองหรือไม่

“เอาล่ะ”

“พวกเจ้าจงติดตามข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง”

เมื่อซุฉินเห็นว่าทุกคนสงบลงมากแล้ว ก็พูดขึ้นหนึ่งประโยคก่อนจะเดินจากไป

“ไปเถอะ”

จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นเดินตามซูฉินไปในทันทีไม่ช้า

ซูฉินก็พาทุกคนมาที่หน้าตําหนักชุนฝั่งขวา

“ให้ขันทีและนางกํานัลในพระราชวังตะวันออก ออกไปเสียก่อน” ซูฉินหยุดนิ่ง มองไปที่องค์จักรพรรดิถังจากนั้นจึงกล่าวคํา

เมื่อจักรพรรดิได้ยินเช่นนั้นพระองค์ก็รีบออกคําสั่งในทันที เพียงไม่นานนอกจากกลุ่มของพวกเขาไม่กี่คน ภายในพระราชวังตะวันออกก็ไม่เหลือใครอีก

“พี่สาม นี่มันที่พักอาศัยของท่านมิใช่หรือ?”

ซูเยวหยุนกล่าวถามด้วยความสงสัย

“ที่พักอาศัย?”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน เขายกมือขวาไปที่ตําหนักชุนฝั่งขวา “โปรดดูอีกครั้ง ที่นี่ยังคงเป็นเพียงที่พักอาศัยอยู่หรือไม่?”

เมื่อสิ้นเสียงของซูฉิน

ฉับพลันก็มีเสียงคํารามก้องมาจากตําหนักชุนฝั่งขวา เมฆและหมอกปกคลุมพื้นที่โดยรอบ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็ครอบคลุมอาณาบริเวณทั่วทั้งพระราชวังตะวันออก

มีพลังฟ้าดินมากมายหลายประเภททับซ้อนกันอยู่จํานวนมากมายนับไม่ถ้วนภายในค่ายกลขนาดใหญ่ ไอพลังฟังกระจาย และปราณชีวิตรวมตัวกันแน่นราวกับสายฝน ที่นี่ไม่ต่างจากสวรรค์บนดินเลยสักนิด

“นี่คือ?”

พี่น้องตระกูลซูอย่าง ซูเยว่หยุน ซูเฉิงฮ่าว และซูเฉิงยู่ไม่เคยเห็นฉากอันน่าเหลือเชื่อขนาดนี้ที่ไหนมาก่อนต่างก็ร้องอุทานกันออกมา แม้แต่ท่าทีของซูชื่อหมินก็ยังกลายเป็นซับซ้อน มีความประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด

พวกเขาไม่คาดคิดว่าเพียงการสะบัดมือของซูฉินจะเป็นดั่งเทพสรรค์สวรรค์สร้าง เปลี่ยนพระราชวังตะวันออกเดิมให้กลายเป็นสวรรค์บนดิน

“ค่ายกลฟ้าดินอันยิ่งใหญ่”

“นี่คือค่ายกลฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ที่ปฐมจักรพรรดิได้กล่าวเอาไว้”

จักรพรรดิถังตกใจอย่างมาก พึมพําอยู่กับตนเอง

ก่อนที่ปฐมจักรพรรดิจะข้ามน้ำข้ามทะเลไป ครั้งหนึ่งพระองค์เคยทิ้งค่ายกลฟ้าดินเอาไว้มากมายภายในวัง แต่หลังจากห้าร้อยปีผ่านพ้น ค่ายกลฟ้าดินเหล่านั้นก็หายไปเสียตั้งนานแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ตามคําบอกกล่าวของปฐมจักรพรรดิ แม้ว่าค่ายกลฟ้าดินเหล่านั้นจะยังคงอยู่ แต่ก็คงจะด้อยกว่าค่ายกลฟ้าดินในพระราชวังตะวันออกแห่งนี้มาก

“ในอนาคต หากพวกเจ้าอยากจะฝึกฝน ก็สามารถมาฝึกฝนที่นี่กันได้เลย”

ซูฉินแย้มยิ้มเล็กน้อย

นับตั้งแต่ค้นพบโถงพระราชวังขนาดใหญ่ใต้เมืองฉางอัน ตําหนักชุนฝั่งขวาก็ไม่อยู่ในสายตาของเขาอีกต่อไป นานๆ ครั้งเขาถึงจะกลับขึ้นมาเดินเล่นรอบๆ เมื่อมีเวลาว่าง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ปล่อยให้ตระกูลซูมาใช้ประโยชน์คงจะดีซะกว่า

“ไม่ดีแล้ว”

“ข้าควรให้กองกําลังของราชสํานักคอยเฝ้าระวังอยู่ภายนอก”

“ไม่เช่นนั้น หากมีคนบุกรุกเข้ามา…”

ในตอนนี้ ท่าทีของจักรพรรดิถังเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

“สบายใจได้”

“หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้ทั้งนั้น”

แต่เดิมค่ายกลฟ้าดินที่เขาสร้างขึ้นในตําหนักชุนฝั่งขวาก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเผลอเข้ามาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าจะมีการก่อตั้งค่ายกลฟ้าดินอื่นๆ ในภายหลัง เช่น ค่ายกลที่รวบรวมพลังฟ้าดิน แต่ค่ายกลฟ้าดินดั้งเดิมก็ยังคงมีอยู่

ด้วยค่ายกลเหล่านี้ ไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นตํานานยุทธบุกเข้ามาก็จะถูกกักขังอยู่ในที่แห่งนี้ชั่วขณะหนึ่ง

จากนั้น

หลังจากซูฉินชี้แนะต่ออีกครู่หนึ่ง ตระกูลซูก็รีบปฏิบัติตามคําชี้แนะของซูฉินและฝึกฝนอย่างมีความสุข

หลังจากที่ทุกคนวุ่นวายอยู่กับการฝึกฝน รอยยิ้มของซูฉินก็ค่อยๆ จางลง “ถึงเวลาแล้วที่จะทดลองควบแน่นอาณาเขต “ขนาดเล็ก” ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]