ตอนที่ 297 (II) ร่างศักดิ์ สิทธิ์อีกาทองคํา
Sign in Buddha’s palm 298 (I) เจ้าสํานักผู้วิเศษชิงหมาง? เป็นสงครามหรือสันติภาพ?
ด้านนอกแหล่งกําเนิดธาตุไฟ
ชายชราเฟยยี่กําลังนั่งขัดสมาธิ
ทันใดนั้น เฟยย ก็เหมือนจะค้นพบบางสิ่งและเงยหน้าขึ้นไปมองแหล่งกําเนิดธาตุไฟในทันที
“นี่คือ?”
ใบหน้าของชายชราเฟยยี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในขณะนี้แหล่งกําเนิดธาตุไฟได้ดับลงอย่างสมบูรณ์พลังงานธาตุไฟจํานวนนับไม่ถ้วนหลอมรวมกันอย่างรวดเร็วในที่สุดก็กระจุกตัวกันอยู่ที่ทางเข้า ซึ่งไม่รู้ว่ามีร่างบุคคลผู้หนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด
“นายท่าน?”
ชายชราเฟยยวมองไปที่ร่างสูงเพรียวฉับพลันก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หน้าทางเข้าแหล่งกําเนิดธาตุไฟมีร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่เปรียบประดุจรูปปั้นหยกยืนอยู่
บุรุษผู้นั้นยืนอยู่เงียบๆ ลึกล้ําราวกับทะเลปราณในส่วนลึกของความว่างเปล่าภายในดวงตาของเขามีดวงอาทิตย์แผดเผาร้อนแรงอยู่ จางๆ
ลักษณะโดยภาพรวมของบุรุษผู้นี้เหมือนซูฉินกว่าเก้าส่วนตามความทรงจําของเฟยย แต่มีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆอยู่บ้างและการเปลี่ยนแปลงเล็กๆนี้เองที่ทําให้ความรู้สึกยามมองเห็นแปรเปลี่ยนราวพลิกหน้ามือเป็นหลังมือประหนึ่งเทพสุริยันผู้ร้อนแรงสมบูรณ์แบบ
ดิบเถื่อน
“ข้าเอง ซูฉินเหลือบมองเฟยยวพร้อมกับกล่าว เบาๆ
แม้ว่าเสียงจะเหมือนเดิมแต่ก็ทุ่มลึกและทรงพลังชายชราเฟียยวเพียงสดับฟังก็ทําให้รู้สึกว่าแก่นแท้แห่งพลังและเลือดเนื้อของเขารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
“เป็นนายท่านจริงๆหรือ?”
ชายชราเฟยย ตกตะลึงเขาตั้งสติกลับมาอย่างรวดเร็วระงับแก่นแท้แห่งพลังและเลือดเนื้อภายในกายเกิดคลื่นลมภายในใจ
ในเวลาแค่ปีเดียว ซูฉินปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งราวกับเกิดใหม่
ถูกต้องความคิดเดียวของเฟยยวในตอนนี้คือการผลัดเนื้อหนังเปลี่ยนไขกระดูกหากซูฉินคนก่อนเป็นเหมือนเหวลึกไม่อาจหยั่งถึงฉะนั้นยามนี้ก็เป็นราวกับดวงอาทิตย์ดวงโตบนฟากฟ้าแผดเผาดุเดือด ราวกับมันสามารถเผาโลกได้ทั้ง
เฟยย คิดไม่ถึงว่าจะมีใครบนโลกสามารถเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้มากเช่นนี้ถ้าไม่ใช่เพราะความคล้ายคลึงกันอย่างมากของซูฉินทั้งก่อนและหลัง เขาอาจจะคิดว่าทั้งคู่เป็นคนละคนกันเลยก็ได้
ในความเป็นจริงที่เฟยยี่คิดก็ไม่ผิด
ซูฉินได้ผลัดเนื้อหนังเปลี่ยนไขกระดูกแล้วจริงๆหลังจากถึงความสําเร็จระดับเล็กในภาพดวงตะวันขนาดมหึมาต้นกําเนิดธาตุไฟก็ได้ไปรับแก้ร่าง ของซูฉินไปอย่างสมบูรณ์แม้ว่าจะยังคงเป็นร่างกายดั้งเดิม แต่ก็มีการจัดระเบียบใหม่ในระดับจุลภาคด้วยต้นกําเนิดธาตุไฟเพื่อให้กลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคํา
“ยินดีกับนายท่านด้วยที่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขต เซียนเทพปฐพี” ความคิดของชายชราเฟยยวเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว และรีบคุกเข่าลงด้วยความ ยินดี
การเปลี่ยนแปลงของซูฉินนั้นยิ่งใหญ่เกินไปเปลี่ยนตั้งแต่ภายในสู่ภายนอกแม้กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกที่ได้รับก็เปลี่ยนผันไม่มีทางอื่นที่จะ เป็นไปได้นอกเสียจากจะก้าวข้ามโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งไว้แล้วกลายเป็นเซียนเทพปฐพี
มีเพียงความก้าวหน้าในระดับขอบเขตใหญ่เช่นนี้เท่านั้น จึงจะเปลี่ยนแปลงคนผู้หนึ่งไปได้อย่างสมบูรณ์
“เซียนเทพปฐพี่?” ซูฉินครุ่นคิดชั่วครู่มองที่มือของตนเองพร้อมกับส่ายศีรษะ “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้เป็นเซียนเทพปฐพี่”
“ไม่ได้เป็นเซียนเทพปฐพี?” ชายชราเฟยยกะพริบตาไม่ตอบสนองไปพักใหญ่
“แม้ว่าข้าจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี แต่…” ซูฉันกําหมัดของเขาแน่น แสงประหลาดสว่างวาบผ่านใบหน้าของเขา “แม้แต่เซียนเทพปฐพี่ที่แท้จ ริง ข้าก็ยังสู้กับมันตัวต่อตัวได้”
ความสําเร็จระดับเล็กในวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมานั้นส่งเสริมซูฉินอย่างมาก
ในตอนแรกซูฉันคิดว่าหลังจากสําเร็จภาพดวงตะวันฯ ระดับเล็กจะทําให้เขาเล่นแง่กับเซียนเทพปฐพีได้บ้าง แต่ในขณะนี้เมื่อได้รับร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําควบคู่ไปกับทิพยอํานาจธาตุไฟที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแม้จะต้องเผชิญหน้ากับเซียนเทพปฐพีซูฉินก็มีความมั่นใจว่าจะต่อสู้ได้
ซูฉินในร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําทั้งความแข็งแกร่งความเร็วและพลังป้องกันจะเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งยังมีปราณเลือดที่ยิ่งใหญ่ดุจมหาสมุทรอันกว้างขวางแม้แต่อาณาเขตขนาดใหญ่ของเซียนเทพปฐพีก็ทําเช่นนี้ไม่ได้
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ของซูฉิน
แม้ว่าเขาจะมีไฟลับมากมาย ในหมู่พวกนั้นก็มีเคล็ดวิชาที่สามารถใช้พลังเทียบเท่าเซียนเทพปฐพีได้เช่นฝ่ามือยูไล
แต่กระนั้นมันก็แค่เทียบเท่าเซียนเทพปฐพีเท่านั้น
แต่ตอนนี้ซูฉินได้เข้าสู่พลังในระดับเดียวกับเซียนเทพปฐพีในทุกด้านทุกท่วงท่าทุกการลงมือย่อมไม่ต่างไปจากเซียนเทพปฐพี
แน่นอน
นี่ไม่ได้หมายความว่าฝ่ามือยไลไม่ดีเท่าภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทั้งคู่มีส่วนที่ดีแตกต่างกัน
การฝึกฝนภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จนถึงขีดสุดทําให้ซูฉินแปลงเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และสามารถควบคุมพลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเต็มที่ไม่เหมือนกับกรณีของฝ่ามือยูไลพลังของฝ่ามือยูไลสามารถปรับปรุงต่อไปได้อีกไม่รู้จบถ้าฝึกทั้งสองสิ่งอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ฝ่ามือยไลย่อมแข็งแกร่งกว่า
ถ้าจะพูดให้ง่ายเข้าในระยะแรกภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทําให้ซูฉินมีพัฒนาการที่ดีขึ้นแต่ในแง่ขีดจํากัดที่แท้จริงภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจะอ่อนแอกว่าฝ่ามือยไล
“อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้สภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําของข้าไม่สามารถคงสภาพไว้ได้อย่างไร้ขีดจํากัดมันต้องการปราณเลือดเป็นจํา นวนมาก?”
ซูฉินรับรู้พลังของตนอย่างระมัดระวังอนุมานสิ่งต่างๆอยู่ในใจ
ซูฉินที่อยู่ในสภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และพลังป้องกันล้วนเพิ่มขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยเท่ามีปราณเลือดมากมายมหาศาลแต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่จะได้มาอย่างไร้ราคา
มันจะกินปราณเลือดของซูฉินไปอย่างช้าๆ
ตามอัตราในปัจจุบัน ปราณเลือดของซูฉินจะหมดลงภายในเวลาไม่กี่เดือน
“พอแล้ว”
“ออกจากร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําดีกว่า”
ทันทีที่ซูฉันคิด ไอพลังภายในร่างก็รวมตัวกันเข้ามาอย่างรวดเร็วและดวงอาทิตย์แผดเผาร้อนแรงในดวงตาของเขาก็เริ่มดับมอดลงอย่างช้าๆ ต้ นกําเนิดธาตุไฟรวมตัวกันกลับเข้าไปอยู่ที่ระหว่างคิ้วของซูฉินกลายเป็นอีกาทองคําสามขาตัวขนาดเท่าฝ่ามือเกาะอยู่บนไหล่ของจิตวิญญาณแรกกําเนิด
“ตราบใดที่ข้าปรารถนา ข้าสามารถกลับไปสู่สภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําได้อย่างรวดเร็วสินะ?” ซูฉินแตะปลายคางพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
ในเวลานี้กลิ่นอายของเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้งจากเทพสุริยันกลับสู่สภาวะปกติ
“นายท่าน….”
ชายชราเฟยยวที่อยู่ด้านข้างกะพริบตาและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ซูฉินที่อยู่ในสภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําทําให้เขารู้สึกถูกกดขอย่างรุนแรงราวกับตัวเขาอยู่ใกล้กับเตาหลอมตลอดเวลาแม้จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างเฟยย ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งเหมือนเป็นความกดดันที่รุนแรงที่สุด ในชีวิตเขาเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้ หลังจากที่ซูฉินกลับสู่สภาวะปกติมันทําให้เฟยยรู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมากแม้จะมีความกดดันหลงเหลืออยู่ก็ตาม
“กลับกันเถอะ”
หลังจากที่ซูฉินถอนสภาวะร่างศักดิ์สิทธิ์อีกาทองคําเขาก็มุ่งหน้ากลับไปเมืองฉางอันอย่าง ช้าๆ
การกลืนกินแหล่งกําเนิดธาตุไฟทั้งหมดสําเร็จวิชาภาพดวงตะวันฯระดับเล็ก ตลอดจนได้รับการปรับแก้ไร่างกายทั้งหมดใช้เวลาถึงหนึ่งปี
“ขอรับ”
ชายชราเฟยยได้ยินดังนั้นก็กล่าวตอบรับทันที
ไม่ช้านาน
ซูฉินและเฟยย ก็กลับไปถึงวังหลวง
จิตวิญญาณแรกกําเนิดที่มีพลังมหาศาลก็ถูกกวาดออกไปทั่วทั้งพระราชวังอยู่ในสายตาของซูฉินทั้งหมด
“ไม่เลว”
“มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหลายสิบคนทั้งยังมีตํานานยุทธถึงสามคนกําเนิดขึ้น?” ซูฉินเลิกคิ้ว
ในระหว่างที่ปิดด่านฝึกตนไปหนึ่งปีก็เป็นจุดเปลี่ยนผ่านของกระแสปราณจีพอดีด้วยพรจาก
ฟ้าดินคอขวดของขอบเขตวิทยายุทธเก้าระดับชั้นที่จะไปสู่ขอบเขตตํานานยุทธก็คลายออกนําไปสู่การเกิดขึ้นของตํานานยุทธทั้งสามคนอย่าง ต่อเนื่องภายในพระราชวังถัง
“เอ๋?”
“หลีหว่านก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธด้วยงั้นหรือ?” ท่าทีของซูฉินที่แสดงออกมาดูประหลาดใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]