เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] นิยาย บท 85

สรุปบท ตอนที่ 85: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

ตอนที่ 85 – ตอนที่ต้องอ่านของ เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]

ตอนนี้ของ เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายActionทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 85 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

Sign in Buddha’s palm 85 ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์

“แต่ว่า”

“สิ่งใดในยุทธภพกันแน่ที่สามารถสร้างอันตรายถึงแก่ชีวิตให้กับเฉียนขู่ได้?”

ซูฉินรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ซูฉินมีสถานะเป็นถึงระดับอรหันต์อันสูงส่ง ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวัดเส้าหลินก็เหมือนเขานั่งมองดูฝ่ามือของตนเอง

ยามเมื่อเฉียนขู่ออกจากวัดเส้าหลินไปท่องยุทธภพ หัวหน้าลานธรรมก็หายตัวไปจากวัดเส้าหลินด้วย

เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าลานธรรมได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินให้ติดตาม ‘เฉียนขู่‘ เพื่อปกป้องเขาอย่างลับๆ

รู้หรือไม่ตอนนี้นอกเหนือจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน คนที่แข็งแกร่งในวัดเส้าหลินก็มีเพียงปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอีกแค่สองคน

การที่จะแบ่งใครสักคนไปเพื่อคุ้มครองเฉียนขู่ก็ถือว่าเต็มกลืนแล้ว

ความเป็นจริงแล้วถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่สามารถออกจากวัดได้ จำเป็นต้องอยู่ประจำที่วัดเส้าหลิน เขาก็คงต้องตามไปคุ้มครองเฉียนขู่ด้วยตัวเอง

เนื่องจากเฉียนขู่มีความสำคัญต่อวัดเส้าหลินมาก

แต่กระนั้น ถึงจะมีปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองลอบเร้นติดตามเฉียนขู่ไป ก็ยังเกิดบางสิ่งกระตุ้นเจตจำนงดาบด้านในดาบไม้ขึ้นมาได้…

ด้วยเหตุนี้ซูฉินจึงให้ความสนใจอยู่บ้าง

แต่ถึงจะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมันอย่างจริงจังมากนัก

“น่าเสียดาย”

“ไม่ว่าจะเป็นเจตจำนงแห่งดาบหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ต้นกำเนิดมันล้วนมาจากข้าทั้งหมด หากวันใดข้าสิ้นลมไป ทั้งเจตจำนงดาบและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์คงมลายสิ้น”

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมวัดเส้าหลินซึ่งมีมานานหลายพันปี มีอรหันต์กำเนิดขึ้นก็จำนวนมาก แต่ยังคงเสื่อมถอยลงๆ จนมาถึงยุคนี้

บางที ยามเมื่ออรหันต์คงอยู่ วัดเส้าหลินก็เรืองอำนาจจนไม่มีใครกล้ายั่วยุ แต่เมื่ออรหันต์มรณภาพไปแล้ว ทุกอย่างก็แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความแข็งแกร่งของตนเองก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ…”

ซูฉินทอดถอนใจด้วยอารมณ์ความรู้สึก

ถ้ามีความแข็งแกร่งเท่าองค์ยูไลทองคำ จะยังมีอะไรในโลกนี้ที่ยากลำบากอีกหรือ?

เมื่อนึกได้แบบนั้น ซูฉินก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะอีกครั้ง

นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่สาม ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของซูฉินก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่บอกว่า‘ช้าลง‘ ก็ยังเทียบเท่าได้กับความเร็วตอนบ่มเพาะขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นอยู่ดี

หากเทียบกับอรหันต์รูปอื่นๆ ภายในวัดเส้าหลินหรือตำนานยุทธคนอื่นๆ ความเร็วในการฝึกของซูฉินยังคงเร็วจนน่าประหลาดใจ

ฮู่!

ชี่!

ระหว่างที่ซูฉินบ่มเพาะ ภายในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เหมือนกำลังสั่นไหวไปพร้อมๆ กับจังหวะหายใจของเขา

เวลาผ่านเลยไป

หนึ่งวันต่อมาที่ลานธรรม

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักมารวมตัวกันอีกครั้ง

“จดหมายจากฮุ่ยจื๋อบอกว่า ‘เฉียนขู่‘ ถูกโจมตีโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งระหว่างเดินทาง!”

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่หัวหน้าตำหนักแล้วกล่าวคำด้วยน้ำเสียงทุ้ม

ฮุ่ยจื๋อเป็นหัวหน้าลานธรรมและเขาก็เป็นศิษย์รุ่น ‘ฮุ่ย‘ เช่นเดียวกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

หัวหน้าลานธรรมแอบติดตามเฉียนขู่ออกจากวัดเส้าหลินไป ศิษย์สาวกคนอื่นอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่เหล่าหัวหน้าตำหนักรู้เรื่องนี้ดี

นี่เป็นผลจากการหารือระหว่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนัก

แม้ว่าวัดเส้าหลินจะเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพและกลุ่มนิกายทั่วๆ ไปไม่กล้ายั่วยุวัดเส้าหลิน แต่พวกเขาก็ต้องสร้างความแน่ใจเผื่อในกรณีที่ไม่คาดฝัน…

ด้วยพรสวรรค์ของเฉียนขู่และคำชี้แนะจากซูฉิน อาจจะไม่ต้องถึงขนาดที่สามารถไปถึงระดับอรหันต์ได้ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็จะไปถึงจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งได้เหมือนอย่างราชครูแห่งเหมิ่งหยวนหรือไม่ก็นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้งเป็นแน่

วัดเส้าหลินจะสามารถละทิ้งอัจฉริยะที่กว่าจะมีสักคนในรอบหลายร้อยปีเช่นนี้ไปได้เช่นไร?

อย่างไรก็ตามเหล่าหัวหน้าตำหนักไม่คาดคิดว่าด้วยการเตรียมการป้องกันทั้งหมดจากพวกเขา เฉียนขู่ก็ยังตกอยู่ในอันตรายจากการออกไปท่องยุทธภพอีก

“ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?”

“ยอดปรมาจารย์คนใดกัน ถึงขนาดกล้าสังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลิน?”

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์โกรธจัดและลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน

ใบหน้าของหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ดูบิดเบี้ยวเช่นกัน

ในมุมของพวกเขา การที่เฉียนขู่เผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง คงจะไม่รอดชีวิตเป็นแน่

“ผังค่ายกล?”

“ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์?”

ดวงตาของซูฉินสว่างขึ้น เขาพอจะเดาออกว่าการลงชื่อครั้งนี้ได้อะไรกลับมา

“มันควรจะเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับพลังฟ้าดิน!”

ซูฉินคิดอยู่ในใจของตน

หลังจากผู้ฝึกยุทธก้าวเข้าสู่ระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธ จะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังแห่งฟ้าดินรวมถึงควบคุมมันได้ตามประสงค์

และอรหันต์บางรูปก็ได้สร้างค่ายกลจากพลังเหล่านี้

ผลกระทบของค่ายกลพลังฟ้าดินมีความแตกต่างกันไปในแต่ละแบบ บางรูปแบบมีแนวโน้มไปทางการซ่อนเร้น บางแบบมีแนวโน้มไปทางการสะกดปราบปราม และบางรูปแบบก็มีแนวโน้มไปในทางรักษา

ตัวอย่างเช่นหอคอยสะกดมารของวัดเส้าหลินและประตูหินที่อรหันต์ถัวได้ล่วงลับไป ล้วนเป็นค่ายกลจากพลังฟ้าดิน

ในช่วงยี่สิบปีมานี้ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้และได้รับค่ายกลฟ้าดินมาหลายสิบรูปแบบ

และที่ได้รับมาวันนี้คือ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ ก็ต้องเป็นค่ายกลฟ้าดินอีกอันหนึ่งแน่ๆ

ขณะที่ซูฉินกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่ ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์ก็พุ่งเข้ามาในจิตของเขา

หลังจากนั้นไม่นาน

ซูฉินก็ลืมตาขึ้นทันที

“ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะกลายเป็นค่ายกลสำหรับรวบรวมพลังฟ้าดิน!”

ซูฉินพอใจมาก

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับค่ายกลฟ้าดินประเภทนี้

ต้องรู้ไว้ว่าก่อนที่จะไปถึงขอบเขตสามระดับบนแทบจะไม่มีการพึ่งพาพลังฟ้าดินในการบ่มเพาะเลย แต่เมื่อเข้าสู่ขอบเขตสามระดับบน ร่างกายจะถูกชำระด้วยพลังฟ้าดิน และเวลานั้นเองความสำคัญของพลังฟ้าดินจึงถูกหงายเปิด

ยิ่งพลังฟ้าดินมีความหนาแน่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกยุทธเท่านั้น

แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดา เมื่ออยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังฟ้าดินหนาแน่น พวกเขาก็จะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งยังมีอายุยืนยาว

ในฐานะสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลินที่มีอรหันต์กำเนิดขึ้นมากมาย ย่อมต้องเต็มเปี่ยมด้วยพลังฟ้าดินตามธรรมชาติ

อย่างไรก็ตามพลังฟ้าดินเหล่านี้มากพอสำหรับจอมยุทธทั่วๆ ไป แต่ในสายตาของขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามอย่างซูฉิน ไม่นับว่าเพียงพออะไรเลย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]