เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] นิยาย บท 88

Sign in Buddha’s palm 88 ส่วนเกินจากบ่อเงินบ่อทอง

“ลุกขึ้นเถอะ”

คําพูดจากปากของซูฉินทําให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักกล้ายืดตัวตรงขึ้นมาหน่อย แต่กระนั้นหลายคนก็ยังก้มหน้าอยู่ไม่กล้าที่จะมองไปที่ซูฉินตรงๆ

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ข้ามิรู้ว่าหมอกที่ภูเขาด้านหลังนี้คืออะไร”

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจัดระเบียบความคิดของตนด้วยความระมัดระวังก่อนจะถามออกไปอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก

ในใจของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน พระหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิตรงหน้าไม่ใช่ศิษย์รุ่น “เจิน” แต่เป็นอรหันต์ผู้ทรงอํานาจในยุทธภพและอาจจะเป็นปางอวตารขององค์ยูไล มีชะตากรรมที่จะขีดเขียนชะตาของยุทธภพในอนาคต

“หมอก?”

“นั่นคือผลพลอยได้จากของที่ข้าสร้างขึ้นมา”

ซูฉินไม่ได้สนใจนัก

“หมอก” ในมุมมองของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการควบแน่นของพลังฟ้าดินจนกลายเป็นรูปเป็นร่าง

มันไม่ใช่หมอกจริงๆ

“ผลพลอยได้จากของที่สร้างขึ้นมา”

หัวหน้าตําหนักต่างมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกเหมือนว่าตนกําลังฝันอยู่

ขนาดพวกเขาสูดเอาหมอกเข้าไปที่ด้านนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขา ด้านหลังก็ยังรู้สึกได้ถึงผลประโยชน์อย่างชัดเจน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหัวหน้าลานอรหันต์ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกกําลังภายนอกตั้งแต่ยังเด็ก ทําให้มีอาการบาดเจ็บซ่อนอยู่ในร่างกาย

บาดแผลที่ซ่อนอยู่พวกนี้นับว่าเล็กน้อยมากและอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้ แต่เมื่อแก่ตัวลงมันอาจแสดงผลออกมา

หัวหน้าลานอรหันต์ก็ปวดหัวกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่รู้จะทําเช่นไร

บาดแผลเหล่านั้นฝังลึกลงไปในไขกระดูก เว้นแต่เขาจะเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งและทําการแปรสภาพกายเนื้อจนสําเร็จ นอกนั้นการจะรักษาให้หายไปมันก็ยาก

แต่ตอนนี้ หลังจากสูดดมหมอกจากภูเขาด้านหลังไปไม่กี่ครั้ง หัวหน้าลานอรหันต์ก็รู้สึกได้ว่าอาการบาดเจ็บที่ซ่อนอยู่ภายในกายเริ่มดีขึ้นอย่างช้าๆ

แม้ว่ายังห่างไกลจากการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยอาการก็ไม่ทรุดลงอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม

สําหรับเขาหมอกนี่เปรียบได้กับน้ำยาอายุวัฒนะ แต่คําจากปากของซูฉินกลับกล่าวว่าเป็นเพียงผลพลอยได้จากอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมา ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจให้กล่าวถึง

สิ่งนี้ทําให้หัวหน้าตําหนักเต็มไปด้วยอารมณ์และพูดอะไรไม่ออก ไปชั่วขณะ

พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธในขอบเขตสามระดับบน ต้องทนรับการขัดเกลาจากพลังฉีฟ้าดินอยู่ทุกวี่วัน พวกเขาย่อมตระหนักดีว่าหมอกนี้กลั่นตัวมาจากพลังฟ้าดิน

ถึงอย่างไรรู้ก็ส่วนรู้ แต่เมื่อมาเห็นจริง สัมผัสจริงสูดลมหายใจเข้าไปจริงๆ มันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

“ในเมื่อพวกเจ้าได้มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ให้ข้าได้บอกอะไรพวกเจ้าสักหน่อย”

ซูฉินเหลือบมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตําหนัก จากนั้นจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ในทุกๆ วันจะมีไอหมอกจางๆ แผ่ออกไปนอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง พวกเจ้าสามารถคัดสรรศิษย์บางคนด้วยตัวของพวกเจ้าเพื่อมาดูดซับกลุ่มหมอกจางๆ เหล่านี้”

เมื่อก่อตั้งค่ายกลพลังฟ้าดินสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์แล้ว มันจะดึงพลังฟ้าดินในรัศมีหลายร้อยลี้โดยรอบอยู่ตลอดเวลา พลังฟ้าดินที่ถูกดึงมานี้จะควบแน่นกลายเป็นรูปเป็นร่าง แต่ก็ยังมีบางส่วนเล็กๆ ที่ล้นออกไปนอกค่ายกลซึ่งเป็นลักษณะเหมือนดังหมอกที่ศิษย์ของวัดเส้าหลินหลายคนได้พบเห็น

แน่นอนว่าหมอกเหล่านั้นด้อยกว่าพลังฟ้าดินที่รวบรวมมาโดย “ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์” มันไม่ได้มีประโยชน์เท่าไหร่ต่อยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งด้วยซ้ํา

แต่สําหรับศิษย์ของวัดเส้าหลินที่อยู่ในขอบเขตสามระดับกลาง และแม้แต่หัวหน้าตําหนักที่อยู่ในขอบเขตสามระดับบนล้วนมีผลดีอย่างมาก

เพื่อการบํารุงร่างกาย ปรับปรุงการฝึกฝนทางจิตวิญญาณ และประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย

ซูฉินเตือนเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยไม่อยากให้ของที่มีต้องเสียเปล่าไป

เพราะถึงอย่างไรซูฉินก็ไม่จําเป็นต้องใช้หมอกพวกนั้นอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่บอกกล่าวอะไรออกไป หมอกก็จะกระจายหายไปตามธรรมชาติ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ที่จะนํามาช่วยเหลือศิษย์วัดเส้าหลิน

อย่างไรก็ตามซูฉินไม่ได้คาดคิดว่าคําพูดของเขาจะไปกระทบใจเหล่าหัวหน้าตําหนักและเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินเพียงไร

รู้หรือไม่ว่าหมอกเหล่านี้ไม่ได้เหมือนกับโอสถเม็ดที่เมื่อบริโภคแล้วจะสูญหายไป

จากการคาดเดาของพวกเขา หมอกเหล่านี้น่าจะผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ดูดซับในวันนี้พรุ่งนี้ก็จะมีมาใหม่

นั่นหมายความเช่นไร?

หมายความว่านี่คือขุมสมบัติที่จะไม่หมดไป มันคือพลังงานหมุนเวียน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]