ประมาณสองชั่วโมง สองสามคนนั้นก็มาถึงหน้าประตูวิหารชิงหยุน วิหารลัทธิเต๋าผ่านการสร้างขยายมาแล้วสองสามครั้ง ตอนนี้มีขนาดขึ้นมาบ้างแล้ว ดูแล้วไม่เหมือนกับวิหารลัทธิเต๋าแต่เหมือนกับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยอยู่เล็กน้อย
ซือคงซินหรงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วใส่เข้าไปในกระเป๋า มือหนึ่งยันไม้เท้าเอาไว้ และอีกมือหนึ่งเท้าเอวอยู่ เอ่ยขึ้นอย่างหอบๆ : “ขึ้นมาซักที ตอนที่ฉันยังหนุ่มๆเคยมาที่นี่แล้ว เปลี่ยนไปมากจริงๆ”
“วิหารชิงหยุนนี่เป็นวิหารลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงที่สุดในระแวกนี้ งดงามเป็นธรรมชาติ”ซือคงอานหมิงยื่นกาน้ำให้พลางเอ่ยขึ้น
เขาดื่มน้ำแล้วเช็ดคราบน้ำมุมปากพลางหัวเราะเบาๆแล้วเอ่ยขึ้น : “ใช่ เคาะประตูเถอะ”
ซือคงอานหมิงเดินเข้าไปเคาะประตู
ไม่นานนัก เสียงเปิดประตูดังขึ้น ประตูใหญ่สีแดงบานใหญ่เปิดออก นักบวชลัทธิเต๋าคนหนึ่งยื่นศีรษะออกมองพิจารณาคนที่มาด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจ : “ฟ้ามืดแล้ว ทั้งสองท่านทำไมยังไม่ลงเขาไปกันอีกหรือ?”
“ผมคือซือคงซินหรง วันนี้มามีเรื่องสำคัญจะขอพบนักพรตหยูเซวียน รบกวนช่วยแจ้งให้หน่อยนะ” ซือคงซินหรงเอ่ยขึ้น
ซือคงอันหมิงอาศัยจังหวะยัดเงินที่ซ้อนกันอยู่ใส่ไปในมือของนักบวชลัทธิเต๋าแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ : “บนภูเขาอาหารน้อย ท่านนักบวชสามารถซื้ออาหารได้นะ”
นักบวชอายุน้อยคนนั้นดวงตาเปลี่ยนไป ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม : “ท่านกรุณารอซักครู่”
นักบวชอายุน้อยว่าแล้วก็หดศีรษะกลับไปและปิดประตูลง เดินไปทางลานด้านหลัง ลานด้านหลังมีรื้อออกไปส่วนหนึ่งตั้งแต่แรกแล้ว เหลือไว้เพียงบ้านเก่าๆสองสามหลังที่รื้อและสร้างขึ้นมาใหม่
ลานด้านหน้าต่อมาได้เพิ่มเป็นสถานที่บำเพ็ญฌาน ปกติแล้วตอนกลางวันมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลนั้นยิ่งเต็มไปด้วยผู้คน คึกคักเป็นอย่างมาก ไม่ได้เป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญฌานจริงๆ
ในทางกลับกัน ลานด้านหลังนั้นจะยิ่งเงียบสงบมากกว่า ทางเดินอิฐทะลุไปถึงห้องเดี่ยวสองสามห้อง ข้างทางปลูกต้นสนที่เขียวขจี ด้านหน้าห้องเดี่ยวนั้นมีต้นไม้สูงอยู่สองสามต้น เวลานี้มีแสงไฟรำไรๆส่องผ่านช่องของต้นไม้ออกมา
อาจารย์เคยบอกกับเขา ว่านักบวชจะต้องฝึกบำเพ็ญฌาน ลานด้านหลังเงียบ มีการก่อกวนของอากาศธาตุที่ไม่สะอาดของบุคคลทั่วไปน้อยกว่า ตอนฝึกฝนก็จะเป็นการลงแรงน้อยแต่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
รอจนตอนที่เขาเดินไปถึงลานทางด้านหลัง ก็เห็นผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยวิ่งออกมาจากอารามของอาจารย์พอดี วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว เขาดูเหมือนกับเห็นสิ่งแปลกประหลาดนี้จนชินไปแล้ว อาจารย์บอกเขาว่านี่เป็นการรักษาโรคเพื่อสะสมบุญบารมี
เขาเชื่อแล้ว และไม่เพียงแค่เชื่อ เขายังตัดสินใจอย่างเงียบๆแล้วว่ารอให้ตัวเองโตขึ้นก่อนก็จะรักษาโลกให้บุคคลทั่วไปให้มากๆเพื่ออธิษฐานและสะสมบุญบารมี
เขาเดินเข้าไปเคาะประตูก็ได้ยินเสียงแก่ๆดังขึ้นมาจากด้านใน : “ศิษย์หยุนซินหรือ?”
“อาจารย์ ด้านหน้ามีคนมาหาครับ”
“ดึกขนาดนี้แล้วยังจะมีธุระอะไรอีก เลี่ยงดีกว่า ให้พวกเขากลับไป มีเรื่องอะไรเอาไว้พรุ่งนี้กลางวันค่อยมา”
“เป็นคนของตระกูลซือคงครับ”
“อ้อ?”ด้านในนั้นชะงักไปเล็กน้อย
หลังจากนั้นพักหนึ่ง นักบวชสูงวัยสวมใส่ชุดนักบวชลัทธิเต๋า ไว้เครายาวสีเทาๆ ริมฝีปากหนาจมูกใหญ่ และหน้าผากโล้นขึ้นไปอยู่บ้างเดินออกมาเปิดประตู
“พาข้าไปหาพวกเขา”
ทั้งสองคนเดินนำหน้าหลังมาถึงประตูหน้า เปิดประตูออก ก็เห็นซือคงซินหรงทั้งสองคนยืนรออยู่ตรงนั้น ดวงตาที่คมกริบของนักบวชลัทธิเต๋าก็เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเจ้านายกับคนรับใช้ได้อย่างรวดเร็ว
เดินไปทางด้านหน้าแล้วเอ่ยพูดขึ้นกับซือคงซินหรงอย่างแสดงความเคารพ : “ประเสริฐมาก ท่านคือซือคงซินหรง?”
ซือคงซินหรงตอบกลับอย่างมีมารยาท : “ใช่ครับ ท่านนักพรตสบายดีไหม?”
“สบายดี มาคุยกันด้านในดีกว่า ข้างนอกหนาว”
ว่าแล้วก็เบี่ยงตัวหลบให้ ซือคงซินหรงพาผู้ติดตามมาด้วยโดยไม่ได้เกรงใจด้วยเช่นกัน แล้วก้าวขึ้นบันไดเข้าไปในวิหาร
นักบวชลัทธิเต๋าพาทั้งสองคนไปในห้องที่งดงามและดูโบราณห้องหนึ่ง ภายในห้องมีกลิ่นหอมพิเศษแบบหนึ่ง เพิ่งจะนั่งลงพักหนึ่งนั้นซือคงซินหรงก็รู้สึกลมหายใจที่ราบรื่น อารมณ์ก็รู้สึกสบายใจตามไปไม่น้อยอีกด้วยเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊
ไม่อัพต่อแล้วเหรอครับ...