เมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง เฉิงเทียนหยวนก็ได้ลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันทำอาหารเช้า
ในตอนเช้าลมพัดแรง หากยืนทำอาหารข้างนอกระเบียงดูเหมือนลมจะแรงไปหน่อย ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่กล้าประมาท จึงหันไปหยิบเสื้อคลุมด้านนอกตัวเก่ามาคลุมเอาไว้
เขายืนอยู่บนที่สูงมองออกไปยังตลาดเล็กๆ ใจกลางเมือง พบว่าฝูงชนแน่นขนัดแล้ว บริเวณทางเข้าตลาดมีรถเข้าออกตลอดไม่ขาดสาย
พรุ่งนี้จะเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ คาดว่าทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการเฉลิมฉลองในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้
ประกอบกับพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี เซวียหลิงก็หยุดงาน ทางด้านสหกรณ์ร้านค้าก็มีวันหยุดเช่นกัน พวกเขาทั้งสองคนตกลงกันแล้ว ในวันพรุ่งนี้ว่าทั้งสองจะพากันนั่งรถกลับไปบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์
เขาเปิดประตูห้องออกพบว่าห้องตรงข้ามยังคงดูนิ่งเงียบไม่มีเสียงใดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเซวียหลิงยังคงนอนหลับอยู่
ช่วงที่ผ่านมานี้เธอค่อนข้างจะยุ่ง ตอนกลางวันทำงานและตอนกลางคืนยังต้องแปลเอกสารเป็นงานเสริม ในบางครั้งเป็นเวลาสี่ห้าทุ่มแล้วเธอถึงค่อยพักผ่อน
เขาเดินเขย่งเท้าลงไปที่ด้านล่างอย่างเงียบๆ แล้วเปลี่ยนถ่านที่อยู่ในเตาเผา ก่อนจะเทน้ำลงไปต้มในกา
ต่อจากนั้นเขาก็วิ่งไปที่ตลาดเพื่อซื้ออาหารสำหรับจะทำในเช้าวันนี้ แล้ววิ่งกลับมาด้วยความรวดเร็ว
บ้านด้านข้างประตูปิดสนิท ประตูใหญ่ถูกล็อกเอาไว้ ลูกชายของป้าเจ้าของบ้านนั่งรถมาเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วพาหญิงชราออกไปจากที่นี่
หญิงชราขอร้องให้ญาติของตนนำห้องข้างๆ ปล่อยเช่าด้วย แต่บัดนี้ยังปล่อยเช่าไม่ได้ซึ่งยังถูกล็อกกุญแจอยู่
เขาเดินตรงเข้าไปในห้องครัว จัดการกับอาหาร รินน้ำร้อนลงไปในกระติกเก็บความร้อน ส่วนที่เหลือเขาใช้มันหุงข้าวต้ม
"พี่หยวนคะ......" น้ำเสียงอันแหบแห้งเล็กน้อยดังมาจากชั้นบน
เฉิงเทียนหยวนฟังดูแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเขาจึงรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นบน
วันนี้คือวันเสาร์ซึ่งเธอยังต้องไปทำงาน ตามปกติแล้วในเวลานี้เธอควรจะตื่นแล้วร้อย เมื่อครู่ฟังจากน้ำเสียงของเธอดูเหมือนว่าเธอจะป่วย
เขารีบวิ่งขึ้นไปด้านบนด้วยความตื่นตระหนก บันไดชั้นสามชั้นสี่อยู่ติดกัน เขารีบวิ่งทันที
พบว่าเซวียหลิงยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง มองไปด้วยแววตาคลุมเครือ เสื้อผ้าผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าของเธอดูซีดเผือด
เฉิงเทียนหยวนรีบวิ่งไปด้านหน้าแล้วถามด้วยความประหม่าว่า "เป็นอะไรครับ?"
เซวียหลิงเงยหน้าขึ้นมองดู ขมวดคิ้วเข้าหากันน้ำเสียงต่ำทุ้ม "พี่หยวน......ฉันเจ็บคอจังเลย แล้วก็ดูปวดหัวด้วย"
เฉิงเทียนหยวนได้ยินดังนั้นเขาก็ตัดสินใจได้ทันที "เธอต้องป่วยแล้วแน่ๆ"
เขาลากมือของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า "ไปเถอะครับ ไปนอนพักอยู่ในห้องก่อน เดี๋ยวฉันจะพยุงเธอไปนอนเอง"
ดวงตาของเซวียหลิงยังคงริบหรี่ เธอเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของเขา อาศัยแรงพยุงของเขา เธอก้มหน้าลงดวงตาหลับสนิท ริมฝีปากพึมพำออกมา "นาฬิกาปลุกดังแล้ว แต่ว่าฉันลุกไม่ขึ้นเลย......มันทรมานเหลือเกิน"
เฉิงเทียนหยวนทำการห่มผ้าให้แก่เธอ และพบว่าสีหน้าของเธอดูแย่มาก
"เดี๋ยวฉันจะไปรินน้ำอุ่นๆ มาให้"
เซวียหลิงพยักหน้าอย่างงุนงง
เฉิงเทียนหยวนเป่าน้ำร้อนจนมันอุ่นลงแล้วตบลงไปที่ผ้าห่มของเธอเบาๆ เป็นความหมายว่าให้เธอลุกขึ้นมาดื่มน้ำ
หลังจากที่เซวียหลิงดื่มน้ำเข้าไปเรียบร้อยแล้วก็ดูมีกำลังวังชาขึ้นเล็กน้อย เธอพยายามลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน
เฉิงเทียนหยวนเห็นว่าเสื้อผ้าของเธอค่อนข้างบางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วตำหนิว่า "ข้างนอกอากาศหนาว ยิ่งในตอนเช้าค่อนข้างเย็น เธอควรที่จะใส่เสื้อผ้าให้มากกว่านี้"
เมื่อกล่าวจบเขาก็ถอดเสื้อคลุมของตนเอง ออกแล้วพาดไปที่บ่าของเธอ
เซวียหลิงรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย เธอยิ้มขึ้นเบาๆ "ขอบคุณค่ะ......"
เฉิงเทียนหยวนชี้แนะขึ้นว่า "ตอนกลางคืนถ้าเธอนั่งแปลเอกสารอยู่ตรงหน้าต่างก็ควรที่จะสวมเสื้อคลุมอีกสักตัว ที่หน้าต่างนั้นต่อให้เปิดไว้เล็กน้อยเพียงใดลมเย็นก็ยังพัดเข้ามาได้อยู่ดี"
เซวียหลิงเบ้ปากขึ้นทำหน้ามุ่ย ยิ้มอย่างเขินอาย
"เมื่อคืนนี้ฉันมัวแต่จดจ่ออยู่กับการเขียนจึงทำให้ลืมไปน่ะค่ะ......จนกระทั่งฉันรู้ตัวอีกทีก็พบว่ามือและเท้าเยือกเย็นเหลือเกิน"
เฉิงเทียนหยวนจ้องไปที่เธอด้วยความตำหนิ แม้ว่าเขาจะรู้สึกโมโห แต่ที่จริงแล้วรู้สึกเห็นใจเธอมากกว่า
"ตอนกลางวันเธอทำงานทั้งวันแล้ว ตอนกลางคืนยังต้องมาทำงานล่วงเวลาอีก อย่าได้ทำงานหนักแบบนี้ไปเลยครับ ต้องรักษาสุขภาพของตนเองด้วย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง