สรุปตอน บทที่ 25 ค่าแปล – จากเรื่อง เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง โดย เฟยจูจู
ตอน บทที่ 25 ค่าแปล ของนิยายประวัติศาสตร์เรื่องดัง เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง โดยนักเขียน เฟยจูจู เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง เฉิงเทียนหยวนก็ได้ลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟันทำอาหารเช้า
ในตอนเช้าลมพัดแรง หากยืนทำอาหารข้างนอกระเบียงดูเหมือนลมจะแรงไปหน่อย ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่กล้าประมาท จึงหันไปหยิบเสื้อคลุมด้านนอกตัวเก่ามาคลุมเอาไว้
เขายืนอยู่บนที่สูงมองออกไปยังตลาดเล็กๆ ใจกลางเมือง พบว่าฝูงชนแน่นขนัดแล้ว บริเวณทางเข้าตลาดมีรถเข้าออกตลอดไม่ขาดสาย
พรุ่งนี้จะเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ คาดว่าทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการเฉลิมฉลองในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้
ประกอบกับพรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี เซวียหลิงก็หยุดงาน ทางด้านสหกรณ์ร้านค้าก็มีวันหยุดเช่นกัน พวกเขาทั้งสองคนตกลงกันแล้ว ในวันพรุ่งนี้ว่าทั้งสองจะพากันนั่งรถกลับไปบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์
เขาเปิดประตูห้องออกพบว่าห้องตรงข้ามยังคงดูนิ่งเงียบไม่มีเสียงใดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเซวียหลิงยังคงนอนหลับอยู่
ช่วงที่ผ่านมานี้เธอค่อนข้างจะยุ่ง ตอนกลางวันทำงานและตอนกลางคืนยังต้องแปลเอกสารเป็นงานเสริม ในบางครั้งเป็นเวลาสี่ห้าทุ่มแล้วเธอถึงค่อยพักผ่อน
เขาเดินเขย่งเท้าลงไปที่ด้านล่างอย่างเงียบๆ แล้วเปลี่ยนถ่านที่อยู่ในเตาเผา ก่อนจะเทน้ำลงไปต้มในกา
ต่อจากนั้นเขาก็วิ่งไปที่ตลาดเพื่อซื้ออาหารสำหรับจะทำในเช้าวันนี้ แล้ววิ่งกลับมาด้วยความรวดเร็ว
บ้านด้านข้างประตูปิดสนิท ประตูใหญ่ถูกล็อกเอาไว้ ลูกชายของป้าเจ้าของบ้านนั่งรถมาเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วพาหญิงชราออกไปจากที่นี่
หญิงชราขอร้องให้ญาติของตนนำห้องข้างๆ ปล่อยเช่าด้วย แต่บัดนี้ยังปล่อยเช่าไม่ได้ซึ่งยังถูกล็อกกุญแจอยู่
เขาเดินตรงเข้าไปในห้องครัว จัดการกับอาหาร รินน้ำร้อนลงไปในกระติกเก็บความร้อน ส่วนที่เหลือเขาใช้มันหุงข้าวต้ม
"พี่หยวนคะ......" น้ำเสียงอันแหบแห้งเล็กน้อยดังมาจากชั้นบน
เฉิงเทียนหยวนฟังดูแล้วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเขาจึงรีบวิ่งขึ้นไปที่ชั้นบน
วันนี้คือวันเสาร์ซึ่งเธอยังต้องไปทำงาน ตามปกติแล้วในเวลานี้เธอควรจะตื่นแล้วร้อย เมื่อครู่ฟังจากน้ำเสียงของเธอดูเหมือนว่าเธอจะป่วย
เขารีบวิ่งขึ้นไปด้านบนด้วยความตื่นตระหนก บันไดชั้นสามชั้นสี่อยู่ติดกัน เขารีบวิ่งทันที
พบว่าเซวียหลิงยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง มองไปด้วยแววตาคลุมเครือ เสื้อผ้าผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าของเธอดูซีดเผือด
เฉิงเทียนหยวนรีบวิ่งไปด้านหน้าแล้วถามด้วยความประหม่าว่า "เป็นอะไรครับ?"
เซวียหลิงเงยหน้าขึ้นมองดู ขมวดคิ้วเข้าหากันน้ำเสียงต่ำทุ้ม "พี่หยวน......ฉันเจ็บคอจังเลย แล้วก็ดูปวดหัวด้วย"
เฉิงเทียนหยวนได้ยินดังนั้นเขาก็ตัดสินใจได้ทันที "เธอต้องป่วยแล้วแน่ๆ"
เขาลากมือของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า "ไปเถอะครับ ไปนอนพักอยู่ในห้องก่อน เดี๋ยวฉันจะพยุงเธอไปนอนเอง"
ดวงตาของเซวียหลิงยังคงริบหรี่ เธอเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของเขา อาศัยแรงพยุงของเขา เธอก้มหน้าลงดวงตาหลับสนิท ริมฝีปากพึมพำออกมา "นาฬิกาปลุกดังแล้ว แต่ว่าฉันลุกไม่ขึ้นเลย......มันทรมานเหลือเกิน"
เฉิงเทียนหยวนทำการห่มผ้าให้แก่เธอ และพบว่าสีหน้าของเธอดูแย่มาก
"เดี๋ยวฉันจะไปรินน้ำอุ่นๆ มาให้"
เซวียหลิงพยักหน้าอย่างงุนงง
เฉิงเทียนหยวนเป่าน้ำร้อนจนมันอุ่นลงแล้วตบลงไปที่ผ้าห่มของเธอเบาๆ เป็นความหมายว่าให้เธอลุกขึ้นมาดื่มน้ำ
หลังจากที่เซวียหลิงดื่มน้ำเข้าไปเรียบร้อยแล้วก็ดูมีกำลังวังชาขึ้นเล็กน้อย เธอพยายามลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน
เฉิงเทียนหยวนเห็นว่าเสื้อผ้าของเธอค่อนข้างบางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วตำหนิว่า "ข้างนอกอากาศหนาว ยิ่งในตอนเช้าค่อนข้างเย็น เธอควรที่จะใส่เสื้อผ้าให้มากกว่านี้"
เมื่อกล่าวจบเขาก็ถอดเสื้อคลุมของตนเอง ออกแล้วพาดไปที่บ่าของเธอ
เซวียหลิงรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย เธอยิ้มขึ้นเบาๆ "ขอบคุณค่ะ......"
เฉิงเทียนหยวนชี้แนะขึ้นว่า "ตอนกลางคืนถ้าเธอนั่งแปลเอกสารอยู่ตรงหน้าต่างก็ควรที่จะสวมเสื้อคลุมอีกสักตัว ที่หน้าต่างนั้นต่อให้เปิดไว้เล็กน้อยเพียงใดลมเย็นก็ยังพัดเข้ามาได้อยู่ดี"
เซวียหลิงเบ้ปากขึ้นทำหน้ามุ่ย ยิ้มอย่างเขินอาย
"เมื่อคืนนี้ฉันมัวแต่จดจ่ออยู่กับการเขียนจึงทำให้ลืมไปน่ะค่ะ......จนกระทั่งฉันรู้ตัวอีกทีก็พบว่ามือและเท้าเยือกเย็นเหลือเกิน"
เฉิงเทียนหยวนจ้องไปที่เธอด้วยความตำหนิ แม้ว่าเขาจะรู้สึกโมโห แต่ที่จริงแล้วรู้สึกเห็นใจเธอมากกว่า
"ตอนกลางวันเธอทำงานทั้งวันแล้ว ตอนกลางคืนยังต้องมาทำงานล่วงเวลาอีก อย่าได้ทำงานหนักแบบนี้ไปเลยครับ ต้องรักษาสุขภาพของตนเองด้วย"
"รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะเข้าไปถามให้" ยามเฝ้าประตูวิ่งเข้าไปด้านใน
อีกไม่นานก็พบว่าเซวียหลิงแบกกระเป๋าออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือด ใบหน้าของเธอไม่กระปรี้กระเปร่าแม้แต่น้อย
เฉิงเทียนหยวนรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า "ยังรู้สึกแย่มากใช่ไหม?"
เซวียหลิงส่ายหน้าแล้วยิ้มขึ้นอย่างเขินอาย
"พอดีเมื่อตอนบ่ายฉันง่วงมากเลยน่ะค่ะ จึงเผลอหลับไปบนโต๊ะทำงาน......ด้วยเหตุนี้จึงถูกรองผอ.ตำหนิเอา โชคดีที่ฉันทำงานเสร็จแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงจะถูกดุเสียแย่แน่"
เธอก้มลงมองดูนาฬิกาแล้วอุทานออกมา "โอ้ตายแล้ว ปาเข้าไปสี่โมงกว่าแล้วนี่ค่ะ เร็วเข้า เราจะต้องรีบไปที่ไปรษณีย์!"
เฉิงเทียนหยวนอดไม่ได้ที่จะถาม "มีอะไรหรือเปล่า? ที่ทำการไปรษณีย์อยู่ที่ถนนข้างหน้านี้เอง เดี๋ยวผมจะไปกับคุณด้วย"
ไม่รู้ว่าเซวียหลิงคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้ เธอดูท่าทางตื่นเต้นแล้วคว้าแขนของเขาวิ่งไปข้างหน้า
"ฉันจะไปรับพัสดุ เมื่อไม่กี่วันก่อนเจียเสวี่ยส่งมาให้ฉัน เมื่อวานตอนบ่ายเจ้าหน้าที่มาส่งใบรับสินค้า และไปรับได้ในวันนี้"
ทั้งสองคนรีบเดินทางไปยังที่ทำการไปรษณีย์ โชคดีเหลือเกินที่ยังไม่ปิดประตู เธอรับกล่องเล็กๆ ที่ห่อหุ้มอย่างแน่นหนามากล่องหนึ่ง
เมื่อเดินทางออกจากที่ทำการไปรษณีย์แล้ว เซวียหลิงก็ดึงเขาไปยังมุมเล็กๆ แล้วเปิดกล่องบรรจุภัณฑ์ออกด้วยความกระตือรือร้น
เฉิงเทียนหยวนเห็นว่าเธอเปิดออกทีละชั้นๆ จากนั้นก็เห็นหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่ง ด้านบนเต็มไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ ดูไปความหนาของมันช่างแปลกตา
เซวียหลิงเปิดหนังสือออกดูด้วยท่าทางอันตื่นเต้น เผยให้เห็นแบงก์ห้าสิบและแบงก์สิบใหม่เอี่ยมมัดรวมกันเอาไว้
"พี่หยวนดูนี่สิคะ ค่าแปลของฉันในครั้งแรกได้มาแล้ว!"
เฉิงเทียนหยวนจ้องมองไปด้วยท่าทางประหลาดใจ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม "เยอะขนาดนี้เชียว มีเท่าไหร่กัน?"
เซวียหลิงนับมันด้วยท่าทางมีความสุข เธอยิ้มขึ้นโดยไม่เงยหน้าหัวเราะคิกคักตอบว่า "ตัวอักษรสามหมื่นคำรวมกันแล้วแลกค่าจ้างหกร้อยห้าสิบหยวน"
"เยอะขนาดนั้นเชียว......" เฉิงเทียนหยวน ยิ้มขึ้นเช่นกัน แววตาของเขาไม่อาจซ่อนความอิจฉาเอาไว้ได้แล้วพูดด้วยความรู้สึกอึดอัดใจว่า "การหาเงินจากความรู้ดีจริงๆ เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือน......น่าทึ่งมาก"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง