เซวียหลิงมองดูผ้าห่มลายดอกเหมยเก่าๆ เธอนึกได้ว่าเมื่อเขากลับมาก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว
ไหนจะต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก กว่าจะหาผ้าห่มหนาๆ มาห่มได้ บางทีอาจเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ดังนั้นจึงรีบไปจัดเตรียมมาให้
ห้องของเขาเล็กกว่าห้องของเธอ มีตู้เก่าๆ ขนาดใหญ่และเก้าอี้ตัวเตี้ย ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ เลย
เซวียหลิงเดินตรงไปที่ตู้เล็กๆ แล้วเปิดออกดู พบว่าเป็นกระเป๋ากระสอบใบใหญ่ที่เขานำกลับมาจากสหกรณ์
“มันน่าจะอยู่ข้างในแน่!” เธอพึมพำขณะดึงกระเป๋านั้นออกมา
ภายใต้แสงสลัว เธอเห็นหนังสือหลายเล่มก่อนอย่างอื่น เธอคิดว่าหนังสือเหล่านั้นหนักไปหน่อย มันอาจขัดขวางการหยิบผ้าห่ม เธอจึงนำหนังสือออกทีละเล่ม
คิดไม่ถึงว่ายังมีเสื้อผ้าเหลืออยู่เล็กน้อยในกระเป๋า มีชุดสองสามชุดสำหรับฤดูร้อน ชุดที่เขาใส่บ่อยสองสามชุดและเสื้อคลุมลายทหารสองชุด นอกจากนั้นก็ไม่เหลืออะไรเลย
เซวียหลิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ ห้อง แต่พบว่าไม่มีที่อื่นที่จะวางของได้เลย
ห้องมีขนาดเล็กเพียง 5-6 ตารางเมตรเท่านั้น เพียงชำเลืองมองก็มองได้โดยรอบ ไม่มีที่อื่นให้ค้นหา
เขาคลุมแค่ผ้าห่มบางๆ ซึ่งพับไว้อย่างเรียบร้อยตลอดทั้งปีงั้นหรือ? !
เซวียหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์ใจ
ผู้ชายคนนี้เป็นคนเงียบ ปากแข็ง ชีวิตที่ผ่านมาของเขาช่างยากลำบาก แต่เขาไม่เคยพูดอะไรกับเธอเลย
หากไม่ใช่เพราะเธอลากเขามาเช่าห้องอยู่ด้วยกันและกินอาหารสามมื้อที่บ้าน เขาก็ยังคงต้องเป็นเหมือนเดิม คงจะหิวโหยทั้งสามมื้อและท้องร้องอยู่ตลอดเวลา
ผ้านวมของเธอเป็นสินสอดทองหมั้นตอนที่แต่งงานซึ่งเป็นผ้าห่มผ้าฝ้ายแท้ที่แม่ของเธอไปหาซื้อให้ที่ห้างสรรพสินค้า ถึงแม้จะไม่หนาแต่ก็ห่มสบายและให้ความอบอุ่นมาก
ตอนเช้าของสองวันนี้อากาศหนาวมาก แต่เธอห่มผ้าห่มนี้จึงไม่รู้สึกหนาวเลย
พรุ่งนี้ต้องหาโอกาสซื้อผ้านวมแบบนั้นให้เขาแล้ว
เธอดึงกระเป๋ากระสอบขึ้น พับเสื้อผ้าตามเดิมอย่างระมัดระวังแล้วหยิบหนังสือสองสามเล่มนั้นขึ้นมา
“ตุ้บ!” หนังสือสองสามเล่มตกลงไป
อากาศหนาวเย็น ทำให้มือและเท้าแข็งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอจึงเผลอทำของหล่นแต่โชคดีที่มันคือหนังสือ ไม่ต้องกลัวแตก
เธอดันหนังสือเล่มอื่นกลับเข้าไป ก่อนจะนั่งลงหยิบมันขึ้นมา แต่การเคลื่อนไหวเหล่านั้นก็ต้องหยุดลง!
เธอเห็นรูปใบเล็กๆ ที่เก็บไว้ในพจนานุกรมเก่าๆ มันเผยตรงส่วนมุมออกมา
เซวียหลิงอยากรู้อยากเห็น เธอจึงดึงมันออกมา เผยภาพขนาดสามนิ้วตรงหน้า
เห็นได้ชัดว่าภาพถ่ายถูกเก็บไว้เป็นเวลาหลายปี ตรงมุมเป็นจุดสีเหลืองอมน้ำตาลแต่ไม่มีรอยย่นหรือความเสียหายใด เห็นได้ชัดว่าเจ้าของภาพหวงแหนมันมาก
เซวียหลิงมองไปที่คนสองคนในภาพแล้วต้องตกตะลึง
......
เวลาสองทุ่มครึ่ง ลมเหนือพัดมาไม่หยุดหย่อน ลมที่ท่าเรือริมแม่น้ำก็ส่งเสียงหวีดหวิว พัดต้นไม้เล็กๆ เอนไหวโค้งงอ บรรดาต้นไม้ใหญ่ก็เต้นระรัว
เฉินหมินตัวสั่น เขาเอามือกอดอก ร่างกายของเขาสั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา
“อาหยวน…...จะรอต่อไหม?”
พวกเขาขนสินค้าล็อทเดียวในคืนนี้ แต่ละคนได้รับเงินเพียงแค่คนละ 1 หยวน เนื่องจากอากาศหนาวเกินกว่าที่ทุกคนจะรอตรงท่าเรือไหว พวกเขาจึงรวมตัวอยู่ที่มุมห้อง สูบบุหรี่สนทนากัน
เฉิงเทียนหยวนหรี่ตามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด
“มองดูเมฆปกคลุมหนาทึบ คาดว่าอีกไม่นานฝนจะตก ลมแรงมากจนเรือคงไม่สามารถขึ้นฝั่งได้จนถึงรุ่งสาง กลับกันเถอะ”
เฉินหมินอดไม่ได้ที่จะเงยศีรษะยืนขึ้น เมื่อลมเหนือพัดมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านอีกครั้ง
เมื่อเห็นพวกเขาลุกขึ้น คนอื่นๆ ก็ถามว่า “ไม่รอแล้วเหรอ?”
เฉิงเทียนหยวนส่ายหน้าหัวเราะ “ผมไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้ามามากมาย ผมหนาว ขอตัวกลับไปก่อนดีกว่า”
ชายอ้วนฟันดำเหลืองขี้บุหรี่แล้วยิ้มอย่างคลุมเครือ "สภาพอากาศแบบนี้ กลับบ้านไปนอนกอดเมียดีกว่า!"
ทุกคนหัวเราะขึ้น
เฉิงเทียนหยวนก็หัวเราะเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง