ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงก็แล้ว สี่ชั่วโมงก็แล้ว แต่ยาหยีก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะฟังคำพูดใดๆ ของเพื่อนร่วมโต๊ะที่กำลังแลกเปลี่ยนความรู้กันเลยแม้แต่นิดเดียว ให้ตายเถอะ สมองของหล่อนวนเวียนและก็วกวนอยู่แต่กับเรื่องของคอร์เนลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ใบหน้าของเขาฉายชัดอยู่ในสมอง กลิ่นกายของเขายังอบอวลอยู่ในจมูกไม่จืดจาง และหล่อนก็โหยหาอ้อมแขนกำยำของเขาเหลือเกิน โหยหาหิวกระหายจนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว
“ลูกหยี...ยายลูกหยี...”
เสียงลินดาที่ดังขึ้นกลางโต๊ะ ทำให้ยาหยีหลุดออกมาจากวังวนเสน่หาที่ตัวเองตกลงไปทั้งกายและใจได้ชั่วขณะ
“อะไรนะ พวกเธอว่าอะไรนะ?”
ลินดาส่ายหน้า ถอนใจหนักๆ พร้อมกัน ขณะเอียงหน้าเข้ามากระซิบกระซาบข้างใบหูของเพื่อนสนิทเสียงเบาพอแค่ได้ยินกันสองคน
“เป็นมากแล้วนะลูกหยี ฉันว่าถ้าคิดถึงพ่อเทพบุตรนัยน์ตาสีเขียวคนนั้นมากก็ไปหาเขาเถอะ เพราะต่อให้นั่งตรงนี้จนพวกฉันเลิกติวกัน เธอก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก ในเมื่อหัวใจของเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้”
คำพูดของลินดาทะลุทะลวงเข้าสู่หัวใจของหล่อนและมันก็ตีแผ่ความจริงออกมาให้ได้เห็น ใช่สิ หล่อนนั่งตรงนี้มาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว แต่หล่อนก็ยังฟังเพื่อนๆ ไม่รู้เรื่องเลย สมองคิดถึง ร่างกายโหยหาแต่คอร์เนลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทว่ามันก็ยากนักที่จะยอมรับออกไป
“มะ...ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันแบบไหนล่ะ เธอเหม่อ เธอใจลอย ฉันเรียกตั้งนานเธอก็ไม่ได้ยิน แล้วจะให้คิดว่าเป็นอะไร หลับหรือไง” ลินดายังประชดเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูของยาหยีเช่นเดิม ก่อนจะพูดต่อ
“เธอไม่ได้หลับ แต่เธอกำลังคิดถึงเขา คิดถึงผู้ชายคนแรกของเธอ”
หมดปัญญาที่จะเถียงออกไป ยาหยีได้แต่ก้มหน้านิ่ง ลินดาเห็นแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ จึงลุกขึ้นและดึงแขนเพื่อนรักให้เดินตามตัวเองออกไปยังมุมลับตาคนแห่งหนึ่งภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยที่พวกตัวเองศึกษากันอยู่
“ไปหาเขาสิ...ไปเถอะ อย่าคิดว่าเป็นการง้องอนเลยลูกหยี รักเขาก็พูดออกไป”
เมื่ออยู่กันตามลำพังแล้ว ลินดาจึงพูดเตือนสติ
“ถึงฉันจะรักเขา แต่เขาไม่มีทางรักฉันหรอกลินดา ฉันเป็นแค่ผู้หญิงที่เขาต้องนอนด้วยเพราะว่าไม่อยากขาดทุนเท่านั้นเอง มันแค่นั้นจริงๆ นะในสายตาของเขาน่ะ”
หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ และในที่สุดมันก็ไหลออกมาอาบแก้มจนต้องรีบเช็ดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว
“แต่เธออยากเห็นหน้าเขาไม่ใช่เหรอ แล้วเธอมีความสุขหรือไงหากต้องนั่งคิดถึงเขาตลอดเวลาแบบนี้ ไปเถอะน่า อาจจะแค่คืนเดียวหรือแค่ชั่วโมงเดียว แต่เธอก็จะมีความสุขกว่าที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้นะลูกหยี อนาคตไว้ค่อยคิดถึงมันเถอะ แค่วันนี้เรามีความสุขที่สุดก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แต่ว่าฉัน...ฉัน...”
“เรื่องของหัวใจมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับเสมอไปหรอกนะ แค่ใช้หัวใจนำทางก็พอแล้ว” ลินดาดึงมือยาหยีขึ้นมากุมเอาไว้ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“เธอรักเขา อย่าปฏิเสธเลย”
ลินดาพูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนสาวทำท่าจะปฏิเสธ
“ทำตามหัวใจตัวเองเถอะ บางทีสิ่งที่เธอคิดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นคิดก็ได้นะ เชื่อฉันนะ ไปหาเขาซะ แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ อย่าฝืนหัวใจตัวเองนักเลย”
‘ทำในสิ่งที่หัวใจตัวเองต้องการอย่างนั้นเหรอ?
แล้วหากคอร์เนลขับไล่หล่อนล่ะ หากเขาบอกว่าไม่อยากเห็นหน้าหล่อนล่ะ จะทำยังไง’
“พรุ่งนี้เจอกันนะยาหยี และหวังว่าเธอจะไม่มาเคาะเรียกฉันตอนกลางดึกล่ะ เพราะฉันจะไม่มีวันเปิดรับแน่นอน”
ลินดายิ้มหวานให้กำลังใจคนหน้าแดงก่ำที่ยืนอยู่ตรงหน้า “ค้างกับเขาเถอะ ทำให้เขามีความสุข แล้วเธอก็จะมีความสุขไปด้วย ฉันไปนะ”
ลินดาเดินกลับไปที่โต๊ะติวหนังสือแล้ว แต่ยาหยีก็ยังยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม สมองดับ เท้าตายขึ้นมาในทันทีเมื่อคิดว่าตัวเองต้องไปเผชิญหน้ากับคอร์เนลในไม่ช้านี้ ไม่ใช่รังเกียจ แต่หวาดกลัวต่อสายตาเหยียดหยามของเขาที่จะมองมาต่างหาก
‘หล่อนคงต่ำยิ่งกว่าขยะแน่ๆ หากปล่อยให้ผู้ชายร้ายกาจคนนั้นรู้ความในใจ แต่ถ้าหากหล่อนไม่ไปหาคอร์เนล หัวใจของหล่อนก็คงจะต้องทุรนทุรายเพราะพิษแห่งความโหยหาอยู่แบบนี้ทั้งคืนทั้งวันแน่ๆ’
ยาหยีถอนใจออกมาเบาๆ พร้อมกับก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองอย่างไม่มีทางหลีกหนีได้พ้น และไม่ช้าเท้าบอบบางก็ก้าวเดินออกไปจากห้องสมุดประจำมหาวิทยาลัยอย่างเงียบเชียบ
คฤหาสน์ใหญ่โตเบื้องหน้ายังคงวิจิตรตระการตาเฉกเช่นทุกครั้งที่ได้พิศมอง ยาหยีจ่ายเงินค่ารถแท็กซี่เสร็จแล้วจึงก้าวลงมายืนที่หน้ารั้วขนาดใหญ่ มือบางยกขึ้นกระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่ข้างลำตัวเอาไว้แน่น ขณะที่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นตามฝ่ามือและไรผมอย่างมหาศาล
ตอนนี้ทั้งความโหยหา ทั้งความหวาดหวั่น ต่างระดมพุ่งเข้าใส่กลางหัวใจของหล่อนอย่างรุนแรงเลยทีเดียว โอ้...สวรรค์ นี่หล่อนคิดถูกหรือคิดผิดกันนะที่ตัดสินใจเดินเข้ามาหาพ่อมัจจุราชรูปหล่อบาดจิตอย่างคอร์เนล ซีร์ยานอฟคนนี้
หัวใจเต้นรัวแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก หญิงสาวพยายามข่มความหวาดหวั่นเอาไว้ ขณะกัดฟันเดินเข้าไปหายามสองสามคนที่หน้ารั้ว
“ฉันมาหา...”
“เชิญครับคุณผู้หญิง”
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายามพวกนี้จะจำหล่อนได้ ทั้งๆ ที่หล่อนเคยมาที่คฤหาสน์หลังนี้โดยไม่ได้นั่งรถคันหรูของคอร์เนลเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”
ง่ายดายจนไม่น่าเชื่อ แต่กระนั้นยาหยีก็เดินผ่านรั้วใหญ่เข้ามาจนได้ ระยะทางไม่ไกลเท่าไรนักจากรั้วใหญ่จนถึงตัวตึก แต่ทำไมนะ ทำไมหัวใจของหล่อนถึงได้เต้นแรงระรัวราวกับพึ่งไปวิ่งมาราธอนรอบโลกมาซะอย่างงั้น
“คุณยาหยี!”
กำลังจะก้าวเข้าไปภายในตึกใหญ่ แต่เสียงของเชอรี่แม่บ้านร่างท้วมก็ดังขึ้นเสียก่อน ยาหยีรีบหันไปมองแล้วก็ระบายยิ้มบางๆ ให้
“ป้านั่นเอง”
เชอรี่มองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบลากยาหยีให้เดินตามตัวเองไปที่มุมตึกลับตาคน
“คุณมาที่นี่โดยไม่มีคำสั่งจากนายน้อยไม่ได้นะคะ”
“เขาจะฆ่าฉันอย่างนั้นหรือคะป้า”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจชัดเจน ใช่สินะ วันนี้เขาไม่ได้ให้คนไปรับหล่อนมา หรือแม้แต่จะโทรตามสักครั้งก็ไม่มี แต่เป็นหล่อนเองที่เสนอหน้ามาหาเพราะทนแรงคิดถึงไม่ไหว เป็นหล่อนเองที่โง่มากจนยอมบากหน้ามาหา หล่อนมันน่าสมเพชเวทนาจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เมียเก็บมาเฟีย ชุด เทพบุตรมาเฟีย