"ไอ้พาย! ระหว่างที่กูไม่ได้มาที่นี่หลายวันมึงไม่ได้สอนอะไรไม่ดีให้หลานกูใช่ไหม" พารันละความสนใจจากจานข้าวตรงหน้าเมื่อได้ฟังคำถามของมาวินที่เพิ่งเดินตามเอริคเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร ขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารมื้อเช้า
"มึงไม่ต้องสนใจคำพูดแปลกๆของเพลลินหรอก เด็กกำลังหัดพูดก็พูดไปเรื่อย"
"ถึงขนาดจะให้กูกับไอ้เอริคมีน้องด้วยกันเนี่ยนะพูดไปเรื่อย แถมเมื่อกี้ยังเจ้าเล่ห์ให้กูจูบไอ้เอริคเพราะคิดว่ากูกับไอ้เวรนี่รักกันอีก มึงสอนอะไรลูกไว้มึงรับผิดชอบเลยนะ"
"จูบ? มึงกับไอ้เอริคจูบกัน?" พารันทำหน้าอึ้งไปเมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนรักพูดออกมา เช่นเดียวกับพัดชาและคาไลน์ที่หันมองเอริคเป็นตาเดียว
"มึงไม่ต้องมาทำหน้าอึ้งเลยไอ้เวร! ทำไมหลานที่น่ารักของกูถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ บอกกูทีว่านี่ไม่ใช่ความจัญไรที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม"
"มึงสิจัญไรมาว่าลูกกู ไม่เข้าใจเด็กฉลาดรึไง"
"วีนจานใย~" ยังไม่ทันที่มาวินจะได้ตอบอะไรกลับไปเสียงของเพลลินก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
"เมื่อกี้เพลลินด่าอาว่าจัญไรเหรอ? รู้รึเปล่าว่ามันหมายความว่าอะไร" มาวินถามหลานสาวเสียงเข้ม แต่เพลลินก็ส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา พลางกอดคอนักรบไว้หลวมๆ
"ทุกคนจานใยหมดเยย~"
คำพูดไร้เดียงสาของเพลลินทำเอาทุกคนอึ้งไปตามๆกันโดยเฉพาะมาวินที่เป็นคนพูดคำนั้นให้หลานสาวได้ยิน
"พะ..เพลลินพูดแบบนั้นไม่ได้นะครับ คำพูดแบบนั้นมันไม่ควรออกจากปากเด็กสองขวบนะ มันเป็นคำไม่ดี ห้ามเอาไปพูดกับใครอีกนะครับ" นักรบอธิบายอย่างใจเย็น หากแต่เด็กน้อยที่กำลังยิ้มแย้มกลับทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันที
"แย้วจำไมวีนถึงพูดได้~"
"เพราะมันเป็นคำที่ผู้ใหญ่ใช้พูดกันครับ เด็กไม่ควรพูดอะไรแบบนั้น"
"แย้วจานใยคืออาใยหย๋อ"
"แปลว่าไม่ดีครับ เข้าใจแล้วใช่ไหม"
"..." เพลลินมองหน้ามาวินด้วยแววตาสั่นระริก มือบางกำคอเสื้อเชิ้ตของนักรบแน่น ทำเอาหัวใจแกร่งของคนโดนมองกระตุกวูบเมื่อเห็นหลานสาวทำหน้าจะร้องไห้ "วีนด่าหนูหย๋อ~ วีนบอกว่าหนูจานใยเหมือนปาป๊า"
"โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับคนเก่ง อาไม่ได้ด่าเพลลินนะ" มาวินรีบเดินเข้ามาแย่งหลานสาวจากอ้อมแขนของเพื่อนรัก ฝังจมูกโด่งคมลงบนแก้มป่องฟอดใหญ่ "จัญไรมันมีอีกความหมายคือเอ็นดูนะครับ ถ้าเป็นเพื่อนสนิทกันก็พูดกันแบบนั้นได้ เมื่อกี้อาแค่หยอกพายมันเฉยๆ ไม่ได้ด่าหนูนะ"
"จำไมต้องเอ็นดูปาป๊าของหนู"
"เพราะมันทำให้อามีหลานน่ารักแบบนี้ไงครับเลยเอ็นดูมัน"
"หนูจาไปหาคายาย" เด็กน้อยทำหน้ามุ่ย มองคาไลน์ตาละห้อยจนมาวินใจอ่อนยอมส่งหลานสาวให้คาไลน์
"เป็นอะไรครับ ทำหน้ามุ่ยแบบนี้แล้วไม่น่ารักเลยนะ"
"วีนโจหกหนู"
"รู้ได้ยังไงครับ"
"นี่พอแล้ว ต่อหน้าหลานทำไมชอบพูดคำหยาบกันนัก" พัดชาปรามอย่างเบื่อหน่าย แต่กลับโดยเพื่อนรักทั้งสองคนตวัดสายตามองพร้อมกัน ไม่เว้นแม้แต่เอริค
"คนที่เกือบจะผสมพันธุ์กันให้ลูกดูมีสิทธิ์มาพูดกับกูแบบนั้นรึไง อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะว่าคำพูดแปลกๆของเพลลินมันมาจากไหน อย่างมึงกับไอ้พายแค่อ้าปากกูก็เห็นลิ้นไก่แล้ว" มาวินหยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูง มองพัดชากับพารันสลับกันไปมาอย่างคาดโทษ แล้วหย่อนสะโพกนั่งลงข้างๆเอริค
"คนเรามันก็พลาดกันได้ เลิกซ้ำเติมกันได้แล้ว"
"พ่อแม่ยังขนาดนี้แล้วหลานกูโตขึ้นมาจะขนาดไหน แค่คิดว่าหลานจะโตขึ้นมาเหมือนแม่มันกูก็แทบไมเกรนขึ้นแล้ว"
"หน็อยไอ้บ้ารบ! ที่บอกว่าโตมาเหมือนแม่มันหมายความว่ายังไงยะ จะพูดอะไรช่วยรักษาหน้าเพื่อนหน่อยเถอะ"
"บอกตามตรงนะ ไม่ว่าหลานกูจะโตมาเหมือนพ่อหรือเหมือนแม่กูว่าก็น่าเป็นห่วงทั้งนั้น"
"ห่วงตัวเองก่อนเถอะไอ้เวรก่อนจะมาห่วงลูกกู สายเลือดของกูยังไงก็ต้องโตมาอย่างมีคุณภาพอยู่แล้ว กินข้าวกันได้แล้ว ไม่งั้นก็กลับไปให้หมด ใครกล้าว่ากูกับพัดอีกกูจะไม่ให้เจอหน้าเพลลินจนกว่าเพลลินจะเข้าเรียนอนุบาล" พารันโพล่งแทรกขึ้นเสียงแข็งในตอนที่พัดชากำลังจะตอกกลับนักรบพอดี คำขาดของเขาทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารพร้อมใจกันปิดปากเงียบ
"ปาป๊าเท่มากเยยค่ะ โตขึ้นหนูจาเปนเหมือนปาป๊า จาจ๋วยเหมือนมามี๊ด้วย" เพลลินค่อยๆหันหน้าเข้าหาโต๊ะอาหาร หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจที่เห็นผู้เป็นพ่อเบ่งอำนาจ
"งั้นโตมาหนูต้องเก่งเหมือนป่าปี๊นะ"
"หนูจาเปนเหมือนปาป๊าค่ะ"
"เก่งมากครับ แบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นทายาทของปีศาจกับแม่มดหน่อย" พารันยื่นมือไปลูบผมลูกสาวเบาๆด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารเช้า โดยที่คนอื่นๆก็นั่งทานเงียบๆ พูดคุยกันบ้างเป็นระยะ บรรยากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เพื่อน(ไม่)สนิท