ว่าแล้ว กวินทร์ก็ตีปากตัวเองอีกครั้ง : “ผมลืมไปแล้ว เมื่อกี้พี่เพิ่งพูดว่าพี่สะใภ้คลอดลูกเป็นฝาแฝดผู้ชาย”
“ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเธอ! แม่ของกะทิตอนนั้นที่ไปเผาศพฉันเป็นคนเซ็นชื่อเอง”
ถึงแม้ว่าตอนนั้นจอมพลจะเคยเห็นว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไรก็ตาม
เขานวดตรงหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า : “ตอนนั้นถ้าหากว่าเก็บข้อมูลเธอเอาไว้ ตอนนี้ก็คงจะไม่ต้องมาเป็นฝ่ายถูกกระทำแบบนี้......”
ด้านนอกประตู
หนูกะทิที่ถือกระดาษและปากกาวาดรูปอยู่นั้น ใบหน้าเล็กๆมีความเศร้าอยู่มาก
วันวิวาห์พักผ่อนอยู่ที่บ้านสองสามวัน รอจนจิตใจเธอผ่อนคลายลงมาแล้วถึงได้เตรียมที่จะไปดูที่บริษัท
ตอนที่สวมใส่ผ้าปิดจมูกเธอเหลือบมอบไปยังแผลบนใบหน้า ดีขึ้นมากแล้ว เหลือเพียงแค่ร่องรอยที่เหมือนตะขาวไขว้เป็นกากบาทอยู่เพียงเท่านั้น
จัดเก็บเรียบร้อยแล้ว วันวิวาห์เปิดประตูออกมาก็เห็นหนูกะทิกำลังถือบัตรอวยพรยืนอยู่ตรงหน้าประตู
เธอนั่งยองๆลงมาจัดแจงเสื้อผ้าให้เด็กน้อย : “หนูน้อย เป็นอะไรไปคะ?”
หนูกะทิยื่นส่งบัตรอวยพรไปให้ แล้วเอ่ยพูดอย่างงอนๆ : “หนูวาดให้ค่ะ”
วันวิวาห์รับมา
บนบัตรอวยพรนั้นเป็นคนตัวเล็กสองคน
คนตัวเล็กที่ดูตัวโตกว่านั้นมีผมยาวเป็นลอน ส่วนคนตัวเล็กคนนั้นมัดเปียเอาไว้สองข้าง ทั้งสองคนจูงมือกัน คนหนึ่งก้มหน้า คนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา บนใบหน้าล้วนแต่ยิ้มกว้างกันออกมา
ดูไม่ยากว่าที่วาดออกมานั้นก็คือพวกเธอทั้งสองคนนั่นเอง
หนูกะทิเงยคางขึ้นมา ทั้งๆที่น้ำเสียงอ่อนโยน แต่กลับแสร้งทำเป็นหนักแน่น : “คุณหาลูกชายไม่เจอ หนูเองก็ไม่มีแม่ ไม่อย่างนั้นเราก็มาเป็นแม่ลูกกันเลยดีไหมคะ? ถึงแม้ว่าหนูจะไม่ใช่เด็กผู้ชาย แต่โตขึ้นไปหนูจะต้องเก่งกว่าผู้ชายอย่างแน่นอนค่ะ!”
ประโยคธรรมดาๆ แต่วันวิวาห์เหมือนกับถูกทิ่มเข้าที่ต่อมน้ำตา ในใจเหมือนกับโดนหมัดจากปุยฝ้ายนุ่มๆ ไม่เจ็บแต่กลับทั้งแสบทั้งนุ่ม
เธอตาแดง แล้วกอดเด็กน้อยเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด : “......ได้สิคะ ขอเพียงแค่หนูไม่รังเกียจ หนูก็คือลูกสาวของฉันตลอดไป”
“ก็ได้ค่ะ”
เด็กน้อยตาโต ยกมุมปากขึ้น
ทั้งๆที่ดีใจมาก แต่กลับแสร้งสำรวมทำหน้านิ่งอีก : “เห็นคุณน่าสงสาร ต่อไปหนูก็จะฝืนเป็นลูกสาวของคุณให้ก็แล้วกันนะคะ”
“โอเคค่ะ” วันวิวาห์เสียงแหบพร่าด้วยความซึ้งใจ กอดเด็กน้อยเอาไว้แล้วหอมลงบนใบหน้าของเธอ
ใบหน้าของเด็กน้อยยังคงดูไม่ชอบเช่นเดิม แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ตั้งใจใช้มือเช็ดใบหน้าแล้ว
วันวิวาห์หัวเราะด้วยความดีใจ
จอมพลกอดอกพิงกำแพง
มองดูปฏิสัมพันธ์ของพวกเธอแล้ว เขาก็เดินเข้าไปอย่างไม่พอใจ แล้วดึงวันวิวาห์ออกมา หรี่ตาลงถามลูกสาว : “ทำไมไม่เห็นหนูอ่อนโยนกับพ่อแบบนี้บ้างเลย?”
หนูกะทิมองพ่อตัวเองอย่างเหยียดๆแล้วกลอกตามองบน : “ถ้าพ่อดูแลภรรยาตัวเองดี หนูจำเป็นจะต้องมาเป็นห่วงแบบนี้ไหมคะ?”
กว่าจะเจอคนโง่ยอมมาเป็นแม่เธอไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เธอไม่คิดหนักอีก ตาพลก็คงจะโสดไปตลอดชีวิตแล้ว!
จอมพลทำหน้าเข้ม วันวิวาห์หัวเราะจนท้องแข็ง
........
เชลน่าคอสเมติกส์
วันวิวาห์เพิ่งจะเหยียบเข้ามาประตูบริษัทนั้น ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นอย่างคึกคัก
พนักงานบริษัทยืนเรียงกันสองฝั่งต้อนรับอยู่ตรงหน้าประตู
แนนนี่กอดช่อดอกไม้เข้ามาด้วยความตื่นเต้น : “ประธานวิวาห์ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน พวกเรารอวันนี้กันมานานมากเลยค่ะ”
วันวิวาห์สวมใส่ผ้าปิดจมูกไซส์ใหญ่ แล้วรับดอกไม้สดมาด้วยความดีใจ : “ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ต่อไปขอให้ทุกคนช่วยกันประคับประคองไปด้วยกันนะ”
ทุกคนต่างก็พากันเข้าไปหา
“ประธานวิวาห์ คุณไม่รู้หรอกว่าช่วงเวลาที่คุณไม่อยู่ พวกเราคิดถึงคุณขนาดไหน”
“บริษัทไม่มีคุณ ทุกคนก็ไม่มีอารมณ์พลุ่งพล่านที่จะทำงานกันเลย”
“ถึงแม้ว่าผมจะตำแหน่งไม่สูง แต่ถ้าหากประธานวิวาห์ต้องการ พูดมาได้เลยนะครับ เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก ผมก็จะผลัดออกไปเด็ดขาด”
วันวิวาห์พูดคุยกับทุกคนแล้ว ก็ให้ทุกคนรีบกลับไปทำงาน ตัวเองกับแนนนี่กลับมายังออฟฟิศ
สิ่งของของชูเกียรติกับวาเลนไทน์ถูกเอาออกไปจนหมดตั้งแต่แรกแล้ว
วันวิวาห์หยิบรูปถ่ายของตัวเองกับคุณปู่ขึ้นมา วางเอาไว้บนโต๊ะทำงาน
นิ้วเรียวลูบลงบนใบหน้าที่มีรอยยิ้มที่มีความเมตตาและอ่อนโยนของชายสูงวัย
คุณปู่ ฉันกลับมาแล้วนะคะ
คุณปู่วางใจได้ ฉันจะต้องไม่ทำให้คุณปู่ผิดหวังอย่างแน่นอน!
แนนนี่หอบเอากองเอกสารกองหนึ่งเข้ามา : “ประธานวิวาห์.....ไม่สิ ตอนนี้พวกเราควรจะเรียกคุณว่าประธานวันวิวาห์ พวกนี้คือธุรกรรมในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ของบริษัท ฉันเอามาให้ทั้งหมดเลยค่ะ”
“วางไว้บนโต๊ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เสพรักร้อน กลางใจตัวพ่อ