หลงรักทนายคนเลว นิยาย บท 149

บทที่ 149ความขุ่นเคืองของหนานฉิง

ฉูเจ๋อหยางลดสายตาลงต่ำ มองเห็นดวงตาที่เอ่อไปด้วยน้ำตาของเป้ยฉ่ายเวยมองตนเองอย่างดื้อดึงและแน่วแน่ ริมฝีปากอิ่มสีแดงขบกัดเบาๆ ใบหน้ารูปไข่ขาวผ่องปรากฏสีแดงเข้ม ท่าทางดูน่าสงสาร

หัวใจกระตุกแผ่วเบา

ถอนหายใจออกมาเบาๆ พูดขึ้นอย่างทำอะไรไม่ได้และยอมอ่อนข้อให้ “ฟังนะ คุณเมามากแล้ว ไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังพูดอะไรอยู่”

เป้ยฉ่ายเวยส่ายหน้า “ฉันไม่ได้เมา ฉันรู้ว่าคุณคือฉูน้อย”

“.........”ขนาดไม่เมา ยังพูดไปทั่วขนาดนี้ ถ้าเป็นตอนปกติ เธอจะไม่ตะโกนชื่อที่ดูพิลึกของเขาออกไปดังๆเลยหรอ

ฉูเจ๋อหยางหมดหนทาง ทำได้แค่อดทนปลอบประโลมเบาๆ เป้ยฉ่ายเวยถึงได้คลายมือของตัวเองออกอย่างเสียไม่ได้

รถจอดลงบริเวณทางเข้าประตู

ฉูเจ๋อหยางหันไปมองด้านข้าง หญิงสาวตัวเล็กก่อนหน้าที่ยังมีพลังเต็มเปี่ยมตอนนี้กลับหลับลึกไปแล้ว ขนตายาวราวกับใบพัด ครอบปิดความวาววับในดวงตาเอาไว้ ใบหน้าเล็กแดงก่ำมุมปากยกยิ้ม ราวกับกำลังฝันถึงเรื่องดีๆ

ตอนหลับก็ดูเป็นเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสา แต่ตอนที่ตื่นมาราวกับเม่นตัวหนึ่งที่คอยสร้างหนามแหลมคมไว้ทั่วร่างกาย ราวกับติดอาวุธไว้ทุกส่วนในร่าง

เป็นเวลานาน ฉูเจ๋อหยางถึงได้ดึงสายตาตัวเองจากการลอบมองกลับมา ค่อยๆอุ้มหญิงสาวขึ้นมาเบาๆ เดินขึ้นตึกไป

ความเคยชินของเป้ยฉ่ายเวยคือเมื่อตื่นขึ้นมาจะคลำหาโทรศัพท์มาดูเวลา วันนี้เธอใช้พลังงานไปเยอะ เลยรู้สึกว่าหัวเจ็บแปล๊บขึ้นมา

มือลูบคลำหาไปเรื่อยๆ แต่ก็หาโทรศัพท์ไม่เจอสักที แต่ที่คลำหาเจอกลับเป็นกำแพงเนื้อ

จากที่งัวเงียอยู่ก็ตื่นเต็มตาทันที ร่างกายดีดลุกขึ้นนั่งราวกับสปริง สองตาเบิกกว้าง มองชายหนุ่มที่หลับอุตุอยู่ข้างกายอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ฉูเจ๋อหยาง คุณ คุณมานอนอยู่บนเตียงฉันได้ยังไง”

ฉูเจ๋อหยางก็เหมือนจะเพิ่งตื่นขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทน ทิ้งเปลือกตาลงเบาๆ นัยน์ตาสีเข้มลึกล้ำชำเลืองมองเธอ เสียงเย็นชาที่มาพร้อมกับความแหบห้าว พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ดูดีๆ นี่ห้องใคร”

เป้ยฉ่ายเวยนิ่งไป เริ่มสำรวจมองรอบทิศ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องของฉูเจ๋อหยางให้ตายสิ ใบหน้าเล็กๆเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด หลังจากนั้นสักพักก็ถามขึ้นตะกุกตะกัก “เมื่อ เมื่อวานฉันกลับมายังไง”

อันที่จริงเธออยากถามว่าเธอได้ทำอะไรแปลกๆกับเขาหรือเปล่า

ดวงตาคมเข้มของฉูเจ๋อหยางทอประกายขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ผมแนะนำว่าทางที่ดีคุณไม่ควรถาม”

เป้ยฉ่ายเวยได้ยินฉูเจ๋อหยางพูดแบบนั้น ทั้งหน้าก็แตกดังเพล้ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆถามขึ้น “คุณพูดมาเถอะ ฉันรับได้”

“คุณพูดเองนะ” เมื่อฉูเจ๋อหยางเห็นเป้ยฉ่ายเวยพยักหน้าอย่างยอมรับชะตากรรม มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อเธอมองมา ก็เปลี่ยนไปตีหน้านิ่งแบบเดิม

“เมื่อวานคุณเกาะแกะผมเหมือนปลาหมึกเลย เอาแต่จะถอดเสื้อผมออกท่าเดียว ผมใช้แรงไปตั้งเยอะกว่าจะหยุดคุณได้ แต่คุณก็ยังเอาแต่เกาะติดผมหนึบอย่างไม่ลดละ ผมก็เลยต้องพาคุณกลับมา”

เป้ยฉ่ายเวยได้ยินคำพูดถูๆไถๆที่ดูเหมือนเป็นเรื่องแต่งขึ้นของฉูเจ๋อหยาง ความร้อนบนหน้าก็พุ่งสูงขึ้น ความรู้สึกแรกเลยคือเธอไม่เชื่อ ฉูเจ๋อหยางต้องกำลังหลอกเธออยู่แน่ๆ

แต่เธอก็ยังจ้องมองสายตาที่สงบเรียบนิ่งของฉูเจ๋อหยาง เริ่มสงสัยขึ้นมาว่าตัวเองทำเรื่องขายหน้าขายตาแบบนั้นจริงหรอ

สุดท้ายคิดจนสมองแตกก็ไม่คิดว่าจะเป็นเหตุผลนี้ บนหน้าแสดงออกว่าเธอรับไม่ได้เป็นอย่างมากที่ทำเรื่องพวกนั้นลงไป

“ฉันไม่เชื่อ คุณต้องแต่งเรื่องเหลวไหลขึ้นมาแน่ๆ”

ฉูเจ๋อหยางพูดขึ้นเสียงนิ่งๆ “จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ในใจคุณมีคำตอบอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”

เป้ยฉ่ายเวยถอนหายใจไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขาอีก มองเวลาในโทรศัพท์ ก็กระวีกระวาดขึ้นมา“หมดกัน จะสายแล้ว เป็นเพราะคุณเลยที่ไม่เตือนกัน”

ตอนนี้ใกล้จะแปดโมงแล้ว จนกว่าเธอจะไปถึงบริษัทต้องสายแน่ๆ

“เมื่อวานคุณออกงานของบริษัท หลินไห่ให้คุณสายได้หนึ่งชั่วโมง”

เทียบกับเป้ยฉ่ายเวยที่กุลีกุจอ ฉูเจ๋อหยางกลับยืดแข้งยืดขาลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า ผ้าห่มผืนนุ่มไหลลงตามร่างกายที่ลุกขึ้นนั่ง เผยให้เห็นสีผิวสุขภาพดีของเขาพื้นผิวทุกตารางนิ้วราวกับมีพลังทำลายล้างสูง

เป้ยฉ่ายเวยรู้สึกคอแห้งผาก รีบเบนสายตาหนี ก้มหน้างุดราวกับกำลังหาอะไร ใบหน้าเล็กๆแดงระเรื่อราวกับดื่มเหล้าเข้าไปเยอะ

จะตายแล้ว ฉูเจ๋อหยางหุ่นดีอะไรอย่างนี้

หุ่นดีสุดๆไปเลย ทั้งเอวสอบ ทั้งขายาวๆนั่น

ลองนึกไปถึงตอนปกติที่ซือซือลากเธอเข้าฟิตเนทเพื่อไปดูเหล่าชายบึกบึนพวกนั้น และนึกไปถึงกล้ามหน้าท้องบนร่างของฉูเจ๋อหยาง อยู่ๆก็รู้สึกว่าชายบึกบึนเหล่านั้นดูขี้ปะติ๋วไปเลย ในความคิดมีเพียงแค่รูปร่างสมส่วนสูงใหญ่ของฉูเจ๋อหยาง

“บนพื้นมีเงินสินะ ก้มหน้าอยู่ได้” เสียงเย็นๆของชายหนุ่มดังขึ้นเหนือศีรษะ

“คุณยุ่งอะไรด้วย ฉันไปทำงานก่อนแล้วกัน”

เป้ยฉ่ายเวยเงยหน้าขึ้นมากะทันหัน จึงชนเข้ากับหน้าอกแข็งๆของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง เจ็บจนน้ำตาเกือบไหล กุมจมูกอย่างเจ็บปวดแล้วถอยออกสองก้าว “ซี๊ด—เจ็บจมูกจัง”

อะไรมันจะได้จังหวะขนาดนี้

คนเตี้ยกว่าทำอะไรไม่ได้ ความสูงแค่ร้อนหกสิบหก เมื่อยืนข้างฉูเจ๋อหยางก็กลายเป็นคนเตี้ยดีๆนี่เอง สูงแค่อกเขาเอง

ฉูเจ๋อหยางเห็นหางตาของเป้ยฉ่ายเวยมีน้ำตาคลออยู่ นัยน์ตาก็ขรึมขึ้น มุมปากอ้าออกพูดราวกับไม่พอใจ “ใครให้คุณรีบร้อนขนาดนั้นล่ะ”

“แล้วใครให้คุณมายืนเงียบๆอยู่ตรงนี้ล่ะ” เธอรู้สึกน้อยใจอยู่นะ

ฉูเจ๋อหยางมองเธอโดยไม่ได้พูดอะไร สีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่

เป้ยฉ่ายเวยโมโหแทบบ้า คนเจ็บคือเธอชัดๆ ผู้ชายคนนี้ยังจะทึกทักทำเป็นไม่พอใจอีก ใครเขาจะสนใจกัน

เป้ยฉ่ายเวยที่มีความโมโหอยู่เต็มอก หยิบเอากระเป๋าของตน เดินออกจากที่พักของฉู่เจ๋อหยางด้วยความฉุนเฉียว

ก้าวเดินไปยังไม่ทันถึงไหนไกล ก็ถูกเสียงหนึ่งตะโกนไล่หลังมา

“เป้ยฉ่ายเวย เธอยังมายุ่งกับอาเจ๋อจริงๆด้วย”

เป้ยฉ่ายเวยหน้าซีด ทั้งร่างแข็งทื่อ ค่อยๆหันหลังกลับไป ไม่คาดคิดว่าจะเจอกับหนานฉิงที่นี่

และที่คาดไม่ถึงไปกว่านั้นคือการเจอเธอในสถานการณ์แบบนี้ มันมืดมนสับสนไปหมด ไหนจะความกังวลที่พูดออกมาไม่ได้อีก

“หนานฉิง ฉัน....”

เธอยังไม่ได้เอ่ยปากอธิบาย เสียงตบก็ดังขึ้นทันทีที่ฝ่ามือปะทะลงมา

‘เพี๊ยะ’

ใบหน้าของเป้ยฉ่ายเวยหันไปด้านข้าง ดวงตาฉายแววคลุมเครือ ตอนที่หันกลับไปมองหนานฉิงเป้ยฉ่ายเวยก็กลับมานิ่งอีกครั้ง

ดวงตาสวยของหนานฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองทิ่มแทงเป้ยฉ่ายเวย วันนี้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าต้องมาหาอาเจ๋อ ยังไม่ทันได้ขึ้นเข้าไปหากลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอภาพของเป้ยฉ่ายเวยเดินออกมาจากประตู

ตอนแรกก็คิดว่าเธอคงมองคนผิด ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเป้ยฉ่ายเวยจริงๆ

เวลานั้นสติปัญญาทั้งหมดถูกความหึงหวงบดบัง ที่เหลืออยู่มีแค่ความเดือดดาลกับความโกรธอยู่เต็มเปี่ยม

หนานฉิงถามขึ้นเสียงด้วยความโกรธจัด “เป้ยฉ่ายเวย นี่หรอที่เธอบอกจะเลิกยุ่งกับอาเจ๋อ ไม่คิดเลยนะว่าจะต่ำทรามจนถึงขั้นนี้แล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หลงรักทนายคนเลว