หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 547

อวี๋หวั่นถามว่า “นางผู้นั้น…คือท่านแม่ของพวกเขาใช่ไหม?”

เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเจ้าควรจะตระหนักได้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดแทนที่นางได้ เจ้าก็มาแทนไม่ได้”

อวี๋หวั่น “…”

การสารภาพรักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับพายุทอร์นาโด อวี๋หวั่นจึงไม่รู้ว่าเธอควรจะรู้สึกริษยาตนเองดีหรือไม่

สุดท้ายแล้วอวี๋หวั่นก็ต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้า เธอเดินออกไปด้วยความเขินอาย ทิ้งให้เยี่ยนจิ่วเฉายืนงงอยู่ในห้องอย่างโดดเดี่ยว

หรือว่าเขาพูดตรงเกินไปจนนางตกใจ?

ปกติแล้วต่อให้ตีเขาให้ตาย คำพูดเหล่านี้ก็ไม่มีทางง้างออกจากปากเขาได้ ทว่าหลังจากที่สูญเสียความทรงจำไป ก็พูดออกมาตรงๆ จนอวี๋หวั่นหัวใจเต้นระรัว ใบหน้าแดงก่ำ

เธอกลับไปยังห้องของโจวอวี่เยี่ยน โจวอวี่เยี่ยนเพิ่งตื่น เมื่อลืมตาขึ้นมาก็บังเอิญเห็นอวี๋หวั่นยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่หน้าเตียง ดวงตารูปผลซิ่งของนางเบิกกว้าง “ท่านพี่หวั่น ท่านเป็นอะไรหรือ”

“อ๋า?” อวี๋หวั่นได้สติ เธอปรับสีหน้าเป็นปกติ “ไม่มีอะไร เจ้าตื่นแล้วหรือ? รู้สึกอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหนหรือ เปล่า?”

“ข้า…” โจวอวี่เยี่ยนลูบศีรษะ “ข้ายังมึนหัวอยู่บ้าน ร่างกาย…รู้สึกไม่ค่อยมีแรง น่าแปลก ข้าเป็นอะไรไปหรือ?”

อวี๋หวั่นพูดกระซิบ “เจ้าโดนวิชาคุมวิญญาณของหลัวช่าวิญญาณเข้า หมดสติไปหลายวัน”

“วิชาคุมวิญญาณ?” โจวอวี่เยี่ยนจำเรื่องในวันนั้นไม่ได้ แต่นางเคยได้ยินเรื่องของหลัวช่าวิญญาณ นางคว้ามือของอวี๋หวั่น “หลัวช่าวิญญาณมาแล้วหรือ? มันไปไหนแล้วเล่า? ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม? ศิษย์น้องเล่า?”

อวี๋หวั่นยิ้ม ตอบว่า “เรื่องของหลัวช่าวิญญาณจัดการเรียบร้อย ไม่มีใครเป็นอะไร โจวจิ่นสบายดี ในเมื่อเจ้าตื่นแล้ว ก็กินอะไรก่อนเถิด ไว้ข้าค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟัง”

“อื้ม” โจวอวี่เยี่ยนทำตามอย่างว่าง่าย นางไปอาบน้ำร้อน เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสะอาด และไปหาอะไรกินในห้องครัว

ในตอนนั้นเอง ชุยเฒ่ากับอาม่าก็ฟื้นแล้วเช่นกัน แม้ว่าทั้งสองคนจะอายุมากแล้ว แต่หลายปีมานี้พวกเขาก็มิได้มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ และไม่ได้ตกระกำลำบาก ร่างกายแข็งแรง ดื่มน้ำแกงโสมไปก็จะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

คนเดียวที่ทำให้คนอื่นไม่ไว้วางใจก็คือโจวจิ่น

หลังจากที่หลัวช่าวิญญาณสลายไป โจวจิ่นก็แทบไม่ได้ออกจากห้องของตนเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกคนกำลัง

วุ่นวายกับเรื่องอื่นอยู่ หรือเป็นเพราะเยี่ยนจิ่วเฉาสูญเสียความทรงจำและไม่ได้เล่นแม่กุญแจขงเบ้งกับเขาแล้ว เด็กคนนี้จึงกลับกลายเป็นนิสัยเดิมเฉกเช่นก่อนหน้านี้

เมื่ออวี๋หวั่นยกบัวลอยน้ำหมักดอกกุ้ยฮวาเข้าไปในห้อง เขากำลังนั่งมองดอกไม้อยู่ริมหน้าต่าง ดอกกุ้ยฮวาในลานบ้านบานสะพรั่ง แลดูราวกับผืนบุปผาสีทองอร่าม ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน ทำให้รู้สึกเพลินตาเพลินใจ

กระนั้นแล้วเขากลับมองดอกไม้ด้วยท่าทางโดดเดี่ยวเหลือเกิน

อวี๋หวั่นเดินเข้าไปด้านหลัง วางถาดลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงค่อยว่า “มองอะไรอยู่หรือ”

“ดอกไม้” โจวจิ่นบอก

“ท่านปู่เป้าบอกว่า เขาซื้อเรือนหลังนี้ก็เพราะดอกกุ้ยฮวาสีทองเหล่านี้ เขาชอบดอกกุ้ยฮวาเหมือนกัน”

“ข้าไม่ชอบดอกกุ้ยฮวา”

“แต่เจ้าก็ยังมองอยู่นี่?”

“ไม่มีอะไรให้มอง”

“หรือว่า…ให้พี่พาเจ้าออกไปเดินเล่นข้างนอกดีไหม? เจ้าอยากดูอะไร พี่จะพาไป”

“ไม่มีให้เห็นแล้ว” โจวจิ่นหลุบตาลง

อวี๋หวั่นพูดไม่ออก

อะไรที่ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว? หรือว่าจะเป็นดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักราชาพ่อมด?

ดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นจากเลือดเนื้อและกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ราชาศักดิ์สิทธิ์ตาย ดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักราชาพ่อมดและกระท่อมเล็กก็สลายไป ไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่ดอกเดียว

อวี๋หวั่นจำได้ว่าโจวจิ่นเคยพูดไว้ว่าสถานที่ที่เขาเคยอยู่ในวัยเด็กนั้นมีดอกไม้สีม่วง เมื่อมาคิดดูแล้วคงจะเป็นดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์กระมัง

ทว่าในตอนนี้ อวี๋หวั่นก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่โจวจิ่นบอกว่า ‘ไม่มีให้เห็นแล้ว’ คือดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้ที่ปลูกดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์กันแน่

ราชาศักดิ์สิทธิ์เป็นแม่ของโจวจิ่น แม้ว่านางจะกลายเป็นหลัวช่าวิญญาณ นางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าจุดจบของนางนั้นได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ที่นางผนึกร่างของราชาศักดิ์สิทธิ์เข้ากับหลัวช่าวิญญาณ ทว่าที่โชคร้ายก็คือ การรู้ว่าแม่ของตนตายไปแล้ว กับการที่เห็นแม่ของตนตายไปต่อหน้าต่อตานั้นแตกต่างกันมาก

อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรปลอบเขาว่าอย่างไรดี

“ท่านพี่หวั่น ข้าไม่เป็นไร”

กลับเป็นโจวจิ่นที่พูดปลอบใจอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นวางมือบนไหล่ของเขา “ไม่เป็นไร หากเจ้ารู้สึกเศร้าก็พูดออกมา อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ออกมา”

“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” โจวจิ่นบอก “อย่างน้อย ข้าก็เห็นแล้วว่าท่านแม่หน้าตาเป็นอย่างไร ต่อให้นางจะจำข้าไม่ได้ แต่ที่นางกลายเป็นเช่นนี้ก็เพราะนางเคยรักข้ามาก่อน”

เป็นเพราะต้องการเปลี่ยนโชคชะตาของโจวจิ่น จึงได้ทำข้อแลกเปลี่ยนกับหลัวช่าวิญญาณ และเพื่อที่จะปกป้องให้โจวจิ่นเติบโตขึ้นมาได้ นางจึงใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ทำเรื่องต้องห้ามลงไป ทั้งหมดล้วนมาจากความรักที่นางมีให้โจวจิ่น

หัวใจนางน่ายกย่องยิ่งนัก

อวี๋หวั่นมองไปยังสีหน้าของโจวจิ่น เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้กำลังฝืนตัวเองอยู่ เธอจึงค่อยวางใจ และเอื้อมมือไปกอดเขาเอาไว้ “นางรักเจ้า คนที่นางรักก็ที่สุดก็คือเจ้า ถ้าวิญญาณของนางที่อยู่ในปรโลกรับรู้ นางย่อมต้องดีใจมากที่มีลูกที่ปราดเปรื่องเช่นเจ้า”

“ท่านพี่หวั่นคิดอย่างนั้นจริงหรือ?” โจวจิ่นมองอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าพี่จะโกหกเจ้า? หรือเจ้าคิดว่าตนเองไม่ดีพอ?”

โจวจิ่นส่ายหน้า สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ท้องของอวี๋หวั่น “เจ้าตัวเล็กไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ?”

“ไม่เป็นไร ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยซ่อนเขาไว้” เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเสี่ยงอันตราย โจวจิ่นใช้ชีวิตของตนปกป้องคนอื่นๆ ทั้งที่เขาก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง แต่กลับมีวุฒิภาวะและความกล้าหาญที่มากกว่าเด็กเก้าขวบ เมื่อได้ร่วมมือกับเขา อวี๋หวั่นก็ชอบ เมื่อได้เป็นเพื่อนกับเขา อวี๋หวั่นก็เอ็นดู

“ข้า…ข้าขอจับได้ไหม?” โจวจิ่นเอ่ยถามด้วยความสงสัย

อวี๋หวั่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แล้วจับมือของเขามาวางบนท้องของเธอ

ท้องของอวี๋หวั่นซึ่งก่อนหน้านี้ปราศจากการเคลื่อนไหว ทันทีที่โจวจิ่นวางมือลง ท้องของเธอก็ขยับในทันใด ทั้งยังมิได้ขยับเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว แต่ยังเตะเท้าหลายครั้งจนโจวจิ่นรู้สึกว่ามือของตนคันยุบยิบ โจวจิ่นทำตากลมโตด้วยความตื่นเต้น

ทันใดนั้นเอง โจวจิ่นก็รู้สึกราวกับศีรษะเล็กๆ กำลังถูไถอยู่กับฝ่ามือของเขา

โจวจิ่นกะพริบตาปริบๆ รู้สึกคล้ายกับบางอย่างในหัวใจของเขาค่อยๆ ละลายลง

……

หลังจากที่อาม่าและชุยเฒ่าฟื้นแล้ว อวี๋หวั่น อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันก็เข้าไปในห้องเพื่อปรึกษาเรื่องที่ยังค้างคาอยู่

อวี๋หวั่นตั้งท้องได้เจ็ดเดือนเศษแล้ว ไม่เหมาะแก่การเดินทางไกล พวกเขาจึงคิดว่าควรรอให้เด็กคลอดออกมาก่อนดีหรือไม่

“รอไม่ได้” ชุยเฒ่าบอก

“ทำไมเล่า” อิ่งลิ่วถาม

ชุยเฒ่าตอบว่า “อาหวั่นยังเหลือเวลาอีกประมาณสองเดือนกว่าจะครบกำหนดคลอด แต่เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือเวลาเพียงไม่กี่วัน ตอนนี้เหลือเพียงน้ำตาพ่อมด ไม่น่าจะต้องกังวลว่าราชาพ่อมดจะอิดออดไม่มอบตัวยานี้ให้ เพียงแต่ว่า ยังต้องใช้ตัวยาอื่นอีก ตัวยาบางชนิดมีอยู่เพียงในต้าโจว จำต้องใช้ขณะยังสดใหม่ เพราะฉะนั้นข้าจึงคิดว่าควรกลับไปถึงต้าโจวก่อนที่อาการของเขาจะหนัก”

“อืม” อาม่าก็เห็นด้วย เมื่ออยู่ไฟไปไหนไม่ได้ หลังจากอยู่ไฟก็อาจเดินลำบาก ตอนนั้นก็คงย่างเข้าฤดูหนาว หากพาเด็กทารกในห่อผ้าเดินทางไกลก็อาจลำบาก ต่อให้พวกเขาไม่กลัวลำบาก แต่ก็จะทำให้อาการของเยี่ยนจิ่วเฉาแย่ลง

อวี๋หวั่นรีบพูดว่า “ข้าเดินทางได้ ไม่เป็นไร”

ร่างกายของเธอเป็นอย่างไรเธอย่อมกระจ่างดี ท้องของเธอไม่เป็นอะไรมาก ทั้งยังเป็นสายเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ขึ้นเขาลงห้วยก็ไม่ใช่ปัญหา

สิ่งเดียวที่ทำให้เธอยังทำใจไปจากที่นี่ไม่ได้ก็คือพ่อครัวเทพเป้า

ท่านปู่เป้าเหลือเวลาอีกไม่มาก ถ้าหากเป็นไปได้ เธอก็หวังว่าจะได้อยู่เป็นเพื่อนเขาจนวาระสุดท้ายของชีวิต ทว่าในตอนนี้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย เธอจำต้องบอกลาท่านปู่เป้า

อวี๋หวั่นจึงเดินไปยังห้องของท่านปู่เป้า

เจียงจิงเหนียนไปรับลูกกับภรรยา ในห้องจึงเหลือเพียงท่านปู่เป้า ด้วยกังวลว่าเขาจะล้มลงไปอีก อวี๋หวั่นจึงเตรียมรถเข็นให้เขา เขากำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่บนรถเข็น

“ท่านปู่เป้า กำลังเขียนอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นเดินเข้าไปถาม

พ่อครัวเทพเป้าเอ่ยอย่างกระฉับกระเฉง “ข้ากำลังเขียนตำราอาหารอยู่ ครานี้ต้องเขียนตำราอาหารไว้เล่มหนึ่งจริงๆ ได้แล้ว”

อวี๋หวั่นสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้าช่วยฝนหมึกนะเจ้าคะ”

พ่อครัวเทพเป้ากล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ไปจัดข้าวของเถิด”

มือของอวี๋หวั่นซึ่งกำลังถือแท่นฝนหมึกชะงัก เธอกะพริบตาปริบๆ มองไปยังพ่อครัวเทพเป้า “ท่านปู่เป้ารู้แล้วหรือเจ้าคะ?”

พ่อครัวเทพเป้ายิ้ม “มีอะไรเดายากกัน? จิ่วเฉากำลังรอถอนพิษใช่ไหม? เจ้าเองก็ใกล้คลอด แต่ยังอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้า เจ้าจะรอคลอดลูกในเผ่าพ่อมดหรืออย่างไร? คลอดแล้วจะไปจากที่นี่อย่างไร เจ้าคิดว่าทารกแบเบาะจะแข็งแกร่งอย่างพี่ชายสามคนหรืออย่างไร?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]