อวี๋หวั่นถามว่า “นางผู้นั้น…คือท่านแม่ของพวกเขาใช่ไหม?”
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเจ้าควรจะตระหนักได้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดแทนที่นางได้ เจ้าก็มาแทนไม่ได้”
อวี๋หวั่น “…”
การสารภาพรักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับพายุทอร์นาโด อวี๋หวั่นจึงไม่รู้ว่าเธอควรจะรู้สึกริษยาตนเองดีหรือไม่
สุดท้ายแล้วอวี๋หวั่นก็ต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้า เธอเดินออกไปด้วยความเขินอาย ทิ้งให้เยี่ยนจิ่วเฉายืนงงอยู่ในห้องอย่างโดดเดี่ยว
หรือว่าเขาพูดตรงเกินไปจนนางตกใจ?
ปกติแล้วต่อให้ตีเขาให้ตาย คำพูดเหล่านี้ก็ไม่มีทางง้างออกจากปากเขาได้ ทว่าหลังจากที่สูญเสียความทรงจำไป ก็พูดออกมาตรงๆ จนอวี๋หวั่นหัวใจเต้นระรัว ใบหน้าแดงก่ำ
เธอกลับไปยังห้องของโจวอวี่เยี่ยน โจวอวี่เยี่ยนเพิ่งตื่น เมื่อลืมตาขึ้นมาก็บังเอิญเห็นอวี๋หวั่นยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่หน้าเตียง ดวงตารูปผลซิ่งของนางเบิกกว้าง “ท่านพี่หวั่น ท่านเป็นอะไรหรือ”
“อ๋า?” อวี๋หวั่นได้สติ เธอปรับสีหน้าเป็นปกติ “ไม่มีอะไร เจ้าตื่นแล้วหรือ? รู้สึกอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหนหรือ เปล่า?”
“ข้า…” โจวอวี่เยี่ยนลูบศีรษะ “ข้ายังมึนหัวอยู่บ้าน ร่างกาย…รู้สึกไม่ค่อยมีแรง น่าแปลก ข้าเป็นอะไรไปหรือ?”
อวี๋หวั่นพูดกระซิบ “เจ้าโดนวิชาคุมวิญญาณของหลัวช่าวิญญาณเข้า หมดสติไปหลายวัน”
“วิชาคุมวิญญาณ?” โจวอวี่เยี่ยนจำเรื่องในวันนั้นไม่ได้ แต่นางเคยได้ยินเรื่องของหลัวช่าวิญญาณ นางคว้ามือของอวี๋หวั่น “หลัวช่าวิญญาณมาแล้วหรือ? มันไปไหนแล้วเล่า? ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม? ศิษย์น้องเล่า?”
อวี๋หวั่นยิ้ม ตอบว่า “เรื่องของหลัวช่าวิญญาณจัดการเรียบร้อย ไม่มีใครเป็นอะไร โจวจิ่นสบายดี ในเมื่อเจ้าตื่นแล้ว ก็กินอะไรก่อนเถิด ไว้ข้าค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟัง”
“อื้ม” โจวอวี่เยี่ยนทำตามอย่างว่าง่าย นางไปอาบน้ำร้อน เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสะอาด และไปหาอะไรกินในห้องครัว
ในตอนนั้นเอง ชุยเฒ่ากับอาม่าก็ฟื้นแล้วเช่นกัน แม้ว่าทั้งสองคนจะอายุมากแล้ว แต่หลายปีมานี้พวกเขาก็มิได้มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ และไม่ได้ตกระกำลำบาก ร่างกายแข็งแรง ดื่มน้ำแกงโสมไปก็จะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
คนเดียวที่ทำให้คนอื่นไม่ไว้วางใจก็คือโจวจิ่น
หลังจากที่หลัวช่าวิญญาณสลายไป โจวจิ่นก็แทบไม่ได้ออกจากห้องของตนเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทุกคนกำลัง
วุ่นวายกับเรื่องอื่นอยู่ หรือเป็นเพราะเยี่ยนจิ่วเฉาสูญเสียความทรงจำและไม่ได้เล่นแม่กุญแจขงเบ้งกับเขาแล้ว เด็กคนนี้จึงกลับกลายเป็นนิสัยเดิมเฉกเช่นก่อนหน้านี้
เมื่ออวี๋หวั่นยกบัวลอยน้ำหมักดอกกุ้ยฮวาเข้าไปในห้อง เขากำลังนั่งมองดอกไม้อยู่ริมหน้าต่าง ดอกกุ้ยฮวาในลานบ้านบานสะพรั่ง แลดูราวกับผืนบุปผาสีทองอร่าม ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน ทำให้รู้สึกเพลินตาเพลินใจ
กระนั้นแล้วเขากลับมองดอกไม้ด้วยท่าทางโดดเดี่ยวเหลือเกิน
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปด้านหลัง วางถาดลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงค่อยว่า “มองอะไรอยู่หรือ”
“ดอกไม้” โจวจิ่นบอก
“ท่านปู่เป้าบอกว่า เขาซื้อเรือนหลังนี้ก็เพราะดอกกุ้ยฮวาสีทองเหล่านี้ เขาชอบดอกกุ้ยฮวาเหมือนกัน”
“ข้าไม่ชอบดอกกุ้ยฮวา”
“แต่เจ้าก็ยังมองอยู่นี่?”
“ไม่มีอะไรให้มอง”
“หรือว่า…ให้พี่พาเจ้าออกไปเดินเล่นข้างนอกดีไหม? เจ้าอยากดูอะไร พี่จะพาไป”
“ไม่มีให้เห็นแล้ว” โจวจิ่นหลุบตาลง
อวี๋หวั่นพูดไม่ออก
อะไรที่ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว? หรือว่าจะเป็นดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักราชาพ่อมด?
ดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นจากเลือดเนื้อและกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ราชาศักดิ์สิทธิ์ตาย ดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ในตำหนักราชาพ่อมดและกระท่อมเล็กก็สลายไป ไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่ดอกเดียว
อวี๋หวั่นจำได้ว่าโจวจิ่นเคยพูดไว้ว่าสถานที่ที่เขาเคยอยู่ในวัยเด็กนั้นมีดอกไม้สีม่วง เมื่อมาคิดดูแล้วคงจะเป็นดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์กระมัง
ทว่าในตอนนี้ อวี๋หวั่นก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่โจวจิ่นบอกว่า ‘ไม่มีให้เห็นแล้ว’ คือดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้ที่ปลูกดอกเซียนศักดิ์สิทธิ์กันแน่
ราชาศักดิ์สิทธิ์เป็นแม่ของโจวจิ่น แม้ว่านางจะกลายเป็นหลัวช่าวิญญาณ นางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าจุดจบของนางนั้นได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ที่นางผนึกร่างของราชาศักดิ์สิทธิ์เข้ากับหลัวช่าวิญญาณ ทว่าที่โชคร้ายก็คือ การรู้ว่าแม่ของตนตายไปแล้ว กับการที่เห็นแม่ของตนตายไปต่อหน้าต่อตานั้นแตกต่างกันมาก
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรปลอบเขาว่าอย่างไรดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]