ทารกแรกเกิดบอบบางยิ่งกว่าสิ่งใด ไหนเลยจะเหมือนกับเด็กน้อยทั้งสามที่ผ่านลมผ่านฝนมานับไม่ถ้วน? หรือต่อให้เป็นเด็กน้อยทั้งสาม ตอนที่ยังอายุไม่ถึงสองขวบ พวกเขาก็อ่อนแอไม่ต่างกัน
อวี๋หวั่นกอดแขนของพ่อครัวเทพเป้า ศีรษะของเธออิงกับหัวไหล่ของเขา “ข้าไม่อยากจากท่านปู่เป้าไปนี่เจ้าคะ…”
พ่อครัวเทพเป้าลูบศีรษะของอวี๋หวั่นด้วยความเอ็นดู “รอให้ลูกโตก่อน แล้วค่อยมาหาข้า ทำไม? เจ้ากลัวว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นานหรือ?”
อวี๋หวั่นผละออกมา แล้วมองไปยังพ่อครัวเทพเป้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะไปคิดเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านปู่เป้าต้องอายุยืนถึงร้อยปีแน่นอน!”
พ่อครัวเทพเป้าหัวเราะร่า หัวเราะจนหายใจไม่ทันและไอออกมา อวี๋หวั่นรีบรินน้ำร้อนให้เขา มองดูเขาด้วยความรู้สึกปวดใจ
พ่อครัวเทพเป้าดื่มน้ำไปครึ่งกา “เอาน่า ปู่ไม่เป็นอะไรหรอก!”
อวี๋หวั่นจับมือของเขา เธอกลั้นน้ำตาจนรู้สึกปวดหนึบที่ลำคอ “…ท่านต้องรักษาสุขภาพนะเจ้าคะ”
พ่อครัวเทพเป้ายิ้ม น้ำตารื้นอยู่ข้างขอบตา “เจ้าเด็กโง่ ข้าก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว”
ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าการลาจากในครั้งนี้เป็นการลาจากชั่วนิรันดร์
อวี๋หวั่นไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเพียงกอดแขนของพ่อครัวเทพเป้าไว้ หยดน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด
พ่อครัวเทพเป้าตบหลังของอวี๋หวั่นเบาๆ จากนั้นก็หันหน้าไป น้ำตาหยดลงกับพื้น
เขาไม่เคยบอกใคร ตลอดหลายปีที่ตามหาลูก แต่ก็ไร้ผล ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดยอมแพ้ เขาเคยอยากตาย เขากระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าเด็กโง่คนนี้กลับกระโดดลงไปในน้ำซึ่งเย็นราวกับน้ำแข็งเพื่อช่วยเขาขึ้นมา
‘เมื่อครู่ข้ายังเห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ ที่แท้ก็ฆ่าตัวตายหรอกหรือ’
‘เจ้าน่ะสิตาย! ไปตายทั้งบ้านเลยไป!’
‘จะ…จะ…เจ้าแก่ไร้สติ!’
‘เจ้านั่นแหละแก่ไร้สติ!’
อันที่จริง สตรีสูงวัยคนนั้นพูดถูกแล้ว เขาตั้งใจฆ่าตัวตายจริงๆ แต่เมื่อเห็นเด็กโง่ซึ่งยอมตัวเปียกลงไปช่วยเขา ขึ้นมาก็ตัวสั่นเทิ้มเพราะความหนาวเหน็บ อีกทั้งดวงตาเป็นประกายใสของนาง ทำให้เขาไม่อาจยอมรับว่าเขาฆ่าตัวตาย
‘ข้าหิว ข้ายืนไม่ไหว จึงตกน้ำ’ เขาพูดเช่นนี้
‘อ้อ’
‘มีของกินหรือไม่?’
‘ขนมนี้ได้หรือไม่?’ เจ้าเด็กโง่หยิบขนมน้ำตาลกรอบออกมาจากกระเป๋า แกะเปลือกออกแล้วส่งให้เขา
‘ไม่อร่อยเลย!’ เขารีบสวาปามลงไปจนไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว
เจ้าเด็กโง่คนนี้ไม่มีทางรู้ ว่าการช่วยชีวิตเขาในวันนั้น ทำให้เขามีวันนี้ได้
‘พ่อครัวเทพเป้า อันที่จริงคนที่สูญเสียคนในครอบครัวไปไม่ได้มีแค่ท่าน ท่านพ่อข้าเขาก็…ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของปู่ข้า เขาพรากจากครอบครัวตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าคนที่บ้านไม่ต้องการเขา หรือว่าเพราะเหตุผลอื่น แต่สรุปว่าตอนนี้ท่านพ่อข้าก็โตแล้ว มีลูกสองคนแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตัวเองคือใคร’
‘หึ! ลูกข้าอายุสองเดือนก็หายไปแล้ว’
‘ท่านพ่อข้าก็ถูกเก็บมาตอนที่ยังอยู่ในห่อผ้าเหมือนกัน’
‘ละ…ลูกข้าขาดสารอาหาร อ่อนแอมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่’
‘ท่านพ่อข้าก็ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนกัน! ท่านลุงใหญ่บอกว่า ท่านพ่อข้าป่วยบ่อย เกือบจะเลี้ยงไม่โตแล้ว!’
‘ละ…ลูกชายข้าน่าสงสารกว่าพ่อเจ้า!’
‘ใครบอกกัน? ท่านพ่อข้าไปออกรบ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้! ตอนที่เขาไป ท่านแม่ข้ายังท้องอยู่เลย เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีลูก!’
หากจะเปรียบกันเรื่องความน่าเวทนา คงไม่มีสิ่งใดน่าเวทนาไปกว่าเขาซึ่งเลือกที่จบชีวิตตัวเองแล้ว มิใช่ว่าเขาสู้ไม่ได้ เพียงแต่เขาคิดว่าเรื่องนี้ออกจะน่าขันไปสักหน่อย คนที่เพิ่งจะฆ่าตัวตายอย่างเขา ต้องมานั่งเถียงกับเด็กสาวโง่งมคนหนึ่งว่าชีวิตใครน่าสงสารกว่ากัน
ในตอนนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่อยากตายแล้ว
หากถามว่าเหตุใดเขาถึงรักและเอ็นดูนางน่ะหรือ? ก็เพราะหากไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ ไฟแห่งความหวังของเขาก็คงไม่ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่มืดมนไร้หนทางเดินต่อ นางกลับจุดเทียนเล่มหนึ่งในหัวใจของเขา
ต้องขอบคุณนาง ในที่สุดเขาก็อดทนมาจนถึงวันนี้ วันที่เขาได้พบกับเลือดเนื้อเชื้อไขที่พลัดพรากกันไปนานนับสิบปี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]