หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 547

ทารกแรกเกิดบอบบางยิ่งกว่าสิ่งใด ไหนเลยจะเหมือนกับเด็กน้อยทั้งสามที่ผ่านลมผ่านฝนมานับไม่ถ้วน? หรือต่อให้เป็นเด็กน้อยทั้งสาม ตอนที่ยังอายุไม่ถึงสองขวบ พวกเขาก็อ่อนแอไม่ต่างกัน

อวี๋หวั่นกอดแขนของพ่อครัวเทพเป้า ศีรษะของเธออิงกับหัวไหล่ของเขา “ข้าไม่อยากจากท่านปู่เป้าไปนี่เจ้าคะ…”

พ่อครัวเทพเป้าลูบศีรษะของอวี๋หวั่นด้วยความเอ็นดู “รอให้ลูกโตก่อน แล้วค่อยมาหาข้า ทำไม? เจ้ากลัวว่าข้าจะอยู่ได้อีกไม่นานหรือ?”

อวี๋หวั่นผละออกมา แล้วมองไปยังพ่อครัวเทพเป้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะไปคิดเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านปู่เป้าต้องอายุยืนถึงร้อยปีแน่นอน!”

พ่อครัวเทพเป้าหัวเราะร่า หัวเราะจนหายใจไม่ทันและไอออกมา อวี๋หวั่นรีบรินน้ำร้อนให้เขา มองดูเขาด้วยความรู้สึกปวดใจ

พ่อครัวเทพเป้าดื่มน้ำไปครึ่งกา “เอาน่า ปู่ไม่เป็นอะไรหรอก!”

อวี๋หวั่นจับมือของเขา เธอกลั้นน้ำตาจนรู้สึกปวดหนึบที่ลำคอ “…ท่านต้องรักษาสุขภาพนะเจ้าคะ”

พ่อครัวเทพเป้ายิ้ม น้ำตารื้นอยู่ข้างขอบตา “เจ้าเด็กโง่ ข้าก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว”

ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าการลาจากในครั้งนี้เป็นการลาจากชั่วนิรันดร์

อวี๋หวั่นไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเพียงกอดแขนของพ่อครัวเทพเป้าไว้ หยดน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

พ่อครัวเทพเป้าตบหลังของอวี๋หวั่นเบาๆ จากนั้นก็หันหน้าไป น้ำตาหยดลงกับพื้น

เขาไม่เคยบอกใคร ตลอดหลายปีที่ตามหาลูก แต่ก็ไร้ผล ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดยอมแพ้ เขาเคยอยากตาย เขากระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าเด็กโง่คนนี้กลับกระโดดลงไปในน้ำซึ่งเย็นราวกับน้ำแข็งเพื่อช่วยเขาขึ้นมา

‘เมื่อครู่ข้ายังเห็นเขายืนอยู่ตรงนี้ ที่แท้ก็ฆ่าตัวตายหรอกหรือ’

‘เจ้าน่ะสิตาย! ไปตายทั้งบ้านเลยไป!’

‘จะ…จะ…เจ้าแก่ไร้สติ!’

‘เจ้านั่นแหละแก่ไร้สติ!’

อันที่จริง สตรีสูงวัยคนนั้นพูดถูกแล้ว เขาตั้งใจฆ่าตัวตายจริงๆ แต่เมื่อเห็นเด็กโง่ซึ่งยอมตัวเปียกลงไปช่วยเขา ขึ้นมาก็ตัวสั่นเทิ้มเพราะความหนาวเหน็บ อีกทั้งดวงตาเป็นประกายใสของนาง ทำให้เขาไม่อาจยอมรับว่าเขาฆ่าตัวตาย

‘ข้าหิว ข้ายืนไม่ไหว จึงตกน้ำ’ เขาพูดเช่นนี้

‘อ้อ’

‘มีของกินหรือไม่?’

‘ขนมนี้ได้หรือไม่?’ เจ้าเด็กโง่หยิบขนมน้ำตาลกรอบออกมาจากกระเป๋า แกะเปลือกออกแล้วส่งให้เขา

‘ไม่อร่อยเลย!’ เขารีบสวาปามลงไปจนไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

เจ้าเด็กโง่คนนี้ไม่มีทางรู้ ว่าการช่วยชีวิตเขาในวันนั้น ทำให้เขามีวันนี้ได้

‘พ่อครัวเทพเป้า อันที่จริงคนที่สูญเสียคนในครอบครัวไปไม่ได้มีแค่ท่าน ท่านพ่อข้าเขาก็…ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของปู่ข้า เขาพรากจากครอบครัวตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าคนที่บ้านไม่ต้องการเขา หรือว่าเพราะเหตุผลอื่น แต่สรุปว่าตอนนี้ท่านพ่อข้าก็โตแล้ว มีลูกสองคนแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดตัวเองคือใคร’

‘หึ! ลูกข้าอายุสองเดือนก็หายไปแล้ว’

‘ท่านพ่อข้าก็ถูกเก็บมาตอนที่ยังอยู่ในห่อผ้าเหมือนกัน’

‘ละ…ลูกข้าขาดสารอาหาร อ่อนแอมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่’

‘ท่านพ่อข้าก็ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนกัน! ท่านลุงใหญ่บอกว่า ท่านพ่อข้าป่วยบ่อย เกือบจะเลี้ยงไม่โตแล้ว!’

‘ละ…ลูกชายข้าน่าสงสารกว่าพ่อเจ้า!’

‘ใครบอกกัน? ท่านพ่อข้าไปออกรบ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้! ตอนที่เขาไป ท่านแม่ข้ายังท้องอยู่เลย เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีลูก!’

หากจะเปรียบกันเรื่องความน่าเวทนา คงไม่มีสิ่งใดน่าเวทนาไปกว่าเขาซึ่งเลือกที่จบชีวิตตัวเองแล้ว มิใช่ว่าเขาสู้ไม่ได้ เพียงแต่เขาคิดว่าเรื่องนี้ออกจะน่าขันไปสักหน่อย คนที่เพิ่งจะฆ่าตัวตายอย่างเขา ต้องมานั่งเถียงกับเด็กสาวโง่งมคนหนึ่งว่าชีวิตใครน่าสงสารกว่ากัน

ในตอนนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่อยากตายแล้ว

หากถามว่าเหตุใดเขาถึงรักและเอ็นดูนางน่ะหรือ? ก็เพราะหากไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ ไฟแห่งความหวังของเขาก็คงไม่ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่มืดมนไร้หนทางเดินต่อ นางกลับจุดเทียนเล่มหนึ่งในหัวใจของเขา

ต้องขอบคุณนาง ในที่สุดเขาก็อดทนมาจนถึงวันนี้ วันที่เขาได้พบกับเลือดเนื้อเชื้อไขที่พลัดพรากกันไปนานนับสิบปี

……

อวี๋หวั่นไม่ได้รีบร้อนเดินทาง แต่เธอรอพบหน้าป้าสะใภ้เจียงและลูกชายของลุงเจียงก่อน บิดาของป้าสะใภ้เจียงเป็นผู้คุ้มกันจากประเทศมรกต เขาคุ้มกันพ่อมดกลุ่มหนึ่งมาที่นี่ หลังจากนั้นบิดาของป้าสะใภ้จางก็ได้พบโอกาสในการหารายได้จากหมู่บ้านนอกเผ่า พวกเขาจึงตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่ และประกอบกิจการคุ้มกันสินค้า

ป้าสะใภ้จางเป็นคนอ่อนโยน เอาใจใส่ กตัญญูรู้คุณ ฉลาดเฉลียวและมากความสามารถ อวี๋หวั่นจึงวางใจให้นางดูแลท่านปู่เป้า

เมื่อรู้ว่าพวกเขาจะไปแล้ว ผู้อาวุโสสามจึงเดินทางมาที่นี่

ผู้อาวุโสสามมารับเนี่ยหวั่นโหรว

อำนาจของสกุลเวินถูกโค่นลง เวินซวี่ตายไปแล้ว ผู้อาวุโสสามจึงขอร้องต่อราชาพ่อมด ให้เขาอนุญาตให้เนี่ยหวั่นโหรวตัดสัมพันธ์กับสกุลเวิน และราชาพ่อมดก็อนุญาต

เนี่ยหวั่นโหรวซึ่งยังหลับไม่ได้สติถูกสาวใช้สกุลเนี่ยช่วยกันประคองขึ้นมาบนรถม้า ต๋าหว่ายังคงไม่อยากปล่อยนางไป

แต่เขาและเนี่ยหวั่นโหรวนั้นอยู่คนละระดับ ที่จริงแล้ว…เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรั้งเนี่ยหวั่นโหรวไว้ที่นี่ด้วยซ้ำ

กระนั้นหากจะให้ผู้อาวุโสสามยอมรับเขา ผู้อาวุโสสามก็คงไม่ยินยอม เคยพลาดเรื่องเวินซวี่มาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่มีทางผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง เจ้าต๋าหว่าคนนี้เป็นเพียงผู้พิทักษ์ของตำหนักทมิฬในตลาดมืด เรียกง่ายๆ ว่าคงไม่ใช่คนดีเด่อะไร บุรุษพรรค์นี้จะไปเหมาะสมกับบุตรสาวของเขาได้อย่างไร?

ราชาพ่อมดก็มารับโจวจิ่น

โจวอวี่เยี่ยนและมู่ชิงเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักกับโจวจิ่น พวกเขาผูกพันกับโจวจิ่น จึงได้รับคำเชิญให้ไปอยู่ที่วังหลวงด้วยกัน

“แต่ว่า…ข้าไม่อยากแยกจากท่านพี่หวั่น” โจวอวี่เยี่ยนพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

มู่ชิงจึงพูดว่า “ข้าก็ไม่อยากแยกจากท่านพี่หวั่นเหมือนกัน แต่ท่านพี่หวั่นมีคคุณชายเยี่ยนกับพวกสือซันคอยดูแลอยู่แล้ว ศิษย์น้องยังเด็กนัก แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยแยกจากพวกเรา ถ้าพวกเราไม่อยู่ ศิษย์น้องต้องเหงาเป็นแน่”

โจวอวี่เยี่ยนซบหน้าร้องไห้ลงบนไหล่ของมู่ชิง “ข้า…ข้าก็ไม่อยากแยกจากอิ่งลิ่ว…”

ตลอดทางมาที่นี่ นางไม่ใช่คุณหนูใหญ่ผู้เอาแต่ใจอีกต่อไป นางเป็นศิษย์พี่หญิงของโจวจิ่น เป็นทั้งญาติและที่พึ่งของเขา นางสัญญากับท่านพ่อไว้แล้วว่าจะดูแลโจวจิ่นให้ดี

ระหว่างผู้ที่นางมีใจให้กับศิษย์น้องเล็ก สุดท้ายแล้วนางก็ต้องเลือกอย่างหลัง

“ท่านพี่โจวจิ่น พวกข้าจะไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ท่าน เลยวาดรูปให้ท่านแทน!” เสี่ยวเป่าหยิบภาพวาดออกมา ขณะบอกลาโจวจิ่นพร้อมกับพี่ชายทั้งสอง “หลังจากนี้ถ้าท่านคิดถึงพวกข้า ก็หยิบภาพวาดออกมาดูได้!”

“พวกข้าวาดอยู่หลายแผ่น แต่อันนี้ดีที่สุด!” เอ้อร์เป่าพูด

ต้าเป่าพยักหน้า

“โอ้” โจวจิ่นเปิดภาพวาดดู บนกระดาษสีนวล มีก้อนสีดำขยุกขยุยอยู่สามก้อน นี่…นี่…นี่มันอะไรกัน?

“นี่คือต้าเป่า นี่คือเอ้อร์เป่า นี่คือเสี่ยวเป่า” เอ้อร์เป่าชี้ไปยังก้อนขยุกขยุยทั้งสามก้อนที่หน้าตาเหมือนกัน แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านพี่โจวจิ่นต้องคิดถึงพวกเรานะ อย่าลืมพวกเรานะ”

โจวจิ่นมองไปยังก้อนสีดำในภาพวาด จากนั้นก็มองไปยังเด็กทั้งสาม “มะ…เหมือนจริง…สุดๆ…”

……

“เอาละ ข้าควรจะให้น้ำตาพ่อมดกับพวกเจ้า” ราชาพ่อมดบอก

อวี๋หวั่นบอกว่า “ช้าก่อน ข้ายังมีเรื่องที่ต้องให้ท่านช่วยอีกเรื่องหนึ่ง”

ราชาพ่อมดพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าอยากถามว่าพ่อกับแม่เจ้าอยู่ที่ไหนกระมัง? แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าหลังจากที่ตกลงไปในหลุมแล้วพวกเขาไปอยู่ที่ไหน แต่ข้าทำนายให้พวกเจ้าแล้ว พวกเขาไม่ได้มีภัยถึงชีวิต”

อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ “หมายความว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือ?”

ราชาพ่อมดยิ้ม เขาพยักหน้าแล้วตอบว่า “อยู่ดีเชียวละ ไม่นานคงได้พบกัน”

อวี๋หวั่นถอนหายใจยาวๆ “เช่นนั้นข้าก็วางใจ ว่าแต่ สรุปแล้วน้ำตาราชาพ่อมดคืออะไรหรือ”

ราชาพ่อมดยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่หยิบศิลาเวททรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ค่อยๆ หลับตาลง น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงบนศิลาเวท

เมื่อเขาลืมตาขึ้น อวี๋หวั่นก็พบว่าแววตาของเขาหายไป “ดวงตาของท่าน…”

ราชาพ่อมดยิ้ม “น้ำตาที่รวมพลังเวททั้งหมดของราชาพ่อมดไว้ด้วยกัน จึงจะเรียกว่าน้ำตาราชาพ่อมด”

อวี๋หวั่นอดหวนนึกถึงคำพูดของต๋าหว่าไม่ได้ ‘พลังเวททั้งหมดของพ่อมดอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง เมื่อพ่อมดสูญเสียพลังเวทไป พวกเขาก็จะสูญเสียดวงตาไปเช่นกัน’

……………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]