ตอนที่ 353ช่วยฉันด้วย
ญาณินีโกรธแต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก พูดได้แค่ “อย่าลืมว่าคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อนถึงเวลานั้นบ้านสุขกาลอยู่ในมือของคนอื่น คุณคงไม่ต้องอยากคิดจะได้อะไรแล้ว”
“ผมรู้แล้ว รออีกหน่อยเถอะ”
“ทางที่ดีให้เร็วที่สุด” ญาณินีเหอะเบาๆ หลังจากนั้นก็ผลักประตูห้องผู้ป่วยเดินออกไป
ประภาพจ้องมองคนที่อยู่ในกระจกหน้าต่างนั้นสักพัก แล้วจึงหันตัวเดินจากไป
โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมา เขาสงบสติอารมณ์ถึงควักออกจากกระเป๋าแล้วรับสาย “ฮัลโหล”
“อ้า ฉันทรมาน ทรมานมาก ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย เสียงที่คุ้นเคยทำให้ลูกนัยน์ตาของประภาพรีบหดตัวลง”
มือของเขาอดไม่ได้ที่จะกำแน่น ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ผ่านไปสักพัก เขาถึงจะได้สติกลับมา
“ฉันรู้ว่าแกกำลังฟังอยู่ แกคิดจะทำอะไร ? ” เขาใช้กำลังสุดความสามารถเพื่อให้ตัวเองนั้นสงบลงถามด้วยความใจเย็น
เสียงเจ็บปวดที่ขอความช่วยเหลือค่อยๆไกลออกไป เสียงที่โหดเหี้ยมนั้นดังขึ้นมา
“ผ่านมานานอย่างนี้แล้วไม่มีความคืบหน้า แกลืมฐานะของตัวแกเองไปแล้วใช่ไหม”
“......ไม่ได้ลืม ฉันจำได้ตลอด” เขาพูดไปมือที่กำโทรศัพท์นั้นใช้แรงอย่างไม่ขาดความสว่างไสวและความอบอุ่นของแววตาคู่นั้นค่อยๆหายไปทีละนิดๆเหลือไว้แค่ความมืดมน
“จำได้ก็ดีแล้ว ฉันให้เวลาแกอีกหนึ่งอาทิตย์ ถ้าไม่มีอะไรคืบหน้าอีกนะ หึ”
เสียง หึ สุดท้ายนั้นลงเสียงหนัก แฝงไว้ด้วยความคุกคามและความหน้าเนื้อใจเสือไม่น่าฟัง
“ติ๊ด”
โทรศัพท์ได้ถูกวางลงไปแล้ว
ประภาพไม่ได้มองหน้าจอโทรศัพท์ที่วางสายไป ใช้แรงข้อมือทำโทรศัพท์เครื่องนั้นก็ถูกเขาทำจนพังเศษแก้วของหน้าจอโทรศัพท์ที่ร้าวนั้นได้ทิ่มลงไปบนฝ่ามือเขาจนเลือดไหลออกมา
ผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็ยังไม่ปล่อยโทรศัพท์แตกอยู่ในมือนั้น แต่กลับยิ่งกำแน่นขึ้นแล้วถึงจะออกจากที่ตรงนั้น
——
ผ่านไปสองวันเต็มๆ จุดแดงๆบนร่างกายของวรินทรก็หายไปและในที่สุดเธอก็ไม่ต้องถูกคนที่ไร้ยางอายผลักให้ล้มเพื่อที่จะทายาอีกแล้ว
แต่ว่าสองสามวันมานี้ วรินทรยังติดต่อฐานทัตไม่ได้ ครั้งที่แล้วถูกเขานำตัวไปที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ ตอนนั้นรถคันนั้นตั้งใจที่จะเลี้ยวหลายตลบก็เพื่อสลัดคนที่อยู่ข้างหลังบวกกับเวลานั้นเป็นเวลาตอนกลางคืน เธอไม่ได้จดจำเส้นทางอะไร
ก็เป็นเหตุให้ตอนนี้นอกจากฐานทัตมาหาเอง ไม่อย่างนั้นแล้วก็อาจไม่รู้สภาพของเขาก็ได้
ทวิติยาตามหาเธอนั้น ตามหาอย่างมุมานะที่ทำ แต่ธารีนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีใดๆเหมือนไม่รู้ว่าฐานทัตนั้นมาแล้วเลย
ในใจของวรินทรมีความตระหนักไว้อยู่แล้ว อาจจะจริงอย่างที่ทวิติยาว่าไว้ก็ได้ว่า ของของเธอทำหายไปแต่ถูกธารีเก็บได้พอดีก็แค่นั้น
คิดถึงวันนั้นคำพูดของธารีที่คลุมเครือวรินทรยังคงไม่แน่ใจ
ตกลงว่าเธอควรเชื่อใครดี
คำถามนี้เธอเคยถามทาวัต แต่ทาวัตกลับพูดว่า ทวิติยาอาจจะเป็นไปได้มากกว่า แต่ว่าพอเธอถามถึงสาเหตุ เขากลับไม่ได้พูดอะไร เพียงให้เธอนั้นเดาเอาเอง
นี่จะให้เธอเดาอย่างไร
ถูกคำถามนี้รุมเร้ามาตลอดอย่าง วรินทรเลยถือโอกาสไม่ไปคิดมันอีกถือผลการสำรวจวิจัยที่แผนกการออกแบบที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงให้เธอไว้ไปที่ “ถนน CR”
มองชื่อดูก็รู้ว่าเป็นถนนของร้านค้าที่ CR ได้ผูกขาดไว้ทั้งหมด
เดิมทีเธอวางแผนจะให้คาร่ามาเป็นเพื่อนเธอ แต่ว่าตอนนี้คาร่าตามหาตวัสเพื่อจะอธิบายก็ยุ่งจนไม่เป็นอันทำมาหากินกันแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ไปรบกวนคาร่า
วรินทรลืมการเตือนของประภาพวันนั้นเสียสนิท กระจิตกระใจอยู่ที่การสำรวจแฟชั่นของ CR
เธอเดินเข้าห้างใหญ่ มองไปรอบๆด้านก็รู้สึกทึ่ง
นี่คือครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ รู้สึกทึ่งกับที่นี่มาก
ตามที่กล่าวกันมาว่าเริ่มก่อตั้งมาหลังจากที่ทาวัตดำรงตำแหน่ง เป็นเวลาเดียวกันที่ CR ได้เปลี่ยนชื่อ
ชื่อของ CR แต่ก่อนคือบริษัทเพ็งอุดม ทาวัตพอได้ดำรงตำแหน่งจึงเปลี่ยนชื่อทันที ตอนนั้นได้ประสบความคัดค้านของพนักงานชั้นผู้ใหญ่ มิหนำซ้ำยังมีคนบอกว่าเขาไม่เอาใจไปคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะยกระดับผลงานของบริษัทได้ แต่กลับมาจัดการกับสิ่งที่เป็นภายนอกเช่น ชื่อบริษัทนี้
แต่ว่าทาวัตกลับไม่ได้ถูกเสียงเหล่านั้นบั่นทอนจิตใจ แต่กลับเอาชื่อเปลี่ยนโดยพลการหลังจากนั้นก็เหมือนอย่างที่ทุกคนเห็น เดิมที CR เป็นที่รู้จักค่อนข้างน้อยในธุรกิจแฟชั่นที่เป็นตัวหลัก
ตั้งแต่หลังจากที่ทาวัตได้ดำรงตำแหน่ง ขอบข่ายของ CR จึงเปลี่ยนเป็นกว้างขึ้นเอาแฟชั่นเป็นหลักเหมือนเดิม สำหรับธุรกิจเพชรพลอย การท่องเที่ยว อาหาร ยาสูบ ก็มีแทรกเข้าไปบ้าง แต่พวกนี้ก็แค่ช่วงไม่กี่ปีนี้เอง
แต่สิ่งเหล่านี้มาจากน้ำพักน้ำแรงของทาวัต ใช้ความสามารถของตัวเองเอาอุตสาหกรรมของครึ่งประเทศ C เข้ามาไว้ กลายเป็นตำนานของวงการค้า
วรินทรมองไปที่ปากประตูชั้นหนึ่งของห้างดินเข้าไปหน้าเคาต์เตอร์ที่มี CR เป็นสัญลักษณ์ สัญลักษณ์ตัวอักษรนั้นส่องแสงสีฟ้า ขอบข้างๆเป็นสีทอง ดูโอ่อ่าทำให้คนมองแค่แวบเดียวก็ยากที่จะลืมได้
CR สองคำนี้วรินทรได้ฟังและพูดถึงบ่อยๆบางครั้งก็เห็นสองคำนี้ในโปรเจคแพลนหรือไม่ก็เอกสารธุรกิจขององค์กร แต่กลับไม่เคยได้มาเลย
เธอคิดใคร่ครวญสองคำนี้โดยละเอียด กลับรู้สึกเหมือนมีความคุ้นเคย
ทันใดนั้น สายตาของเธอก็เบิกกว้าง
เธอมองสัญลักษณ์ แววตาค่อยๆปรากฏความรู้สึก ความรัก ความอ่อนโยน ความอบอุ่นและความสัมผัสที่ยากเกินอธิบายจู่โจมทั่วร่างกายของเธอ
เธอคิดว่า เธอคล้ายกับจะรู้แล้วว่านี่หมายความว่าอะไร
เธอถือโทรศัพท์ออกมา เปิดเข้าไปที่กล้องหลังจากนั้นก็ถ่ายรูปสัญลักษณ์นั้น
ดูรูปที่ถ่ายเสร็จไว้แล้วในมือถือ วรินทรยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจ หลังจากนั้นเปิดรายชื่อผู้ติดต่อพิมพ์ข้อความเสร็จแล้วเอารูปภาพส่งให้ทาวัต
หลังจากที่ส่งไปแล้ว หน้าตาของเธอเหมือนอาบด้วยน้ำผึ้งบ่งบอกถึงความสุขและความอ่อนโยน
“วรินทร เธอมาทำอะไรที่นี่ ? ”เสียงใสดังมาจากข้างหลังของวรินทร เธอหันกลับมาอย่างมีสติก็เห็นธารีที่นั่งบนรถเข็นกำลังหมุนรถเข็นเข้ามาทางเธอ
คนที่อยู่แถวนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ประหลาดใจและเห็นใจ แต่เธอกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเข้าไปทางวรินทรด้วยสีหน้าอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยความเฉยเมย
ก่อนหน้าที่เรื่องราวยังไม่มีผลสรุป วรินทรยังเชื่อธารีอยู่บ้าง เห็นเธอหมุนรถเข็นเข้ามามองไปที่ข้างหลังเธอ กลับไม่เห็นจันทรา
“เธอมาคนเดียวหรอ ?แล้วจันทราล่ะ”
“จันทราไปซื้อเครื่องดื่มให้ฉัน ฉันไม่อยากไปเลยรอเขาอยู่ตรงนี้” ธารีตอบมองสายตาของวรินทรที่เป็นมิตรและธรรมชาติ มองไม่เห็นถึงร่องรอยของความหวาดผวา
เป็นเพราะอย่างนี้ ถึงทำให้วรินทรพัวพันอยู่อย่างนี้ พูดได้แค่ว่าการแสดงของเธอดีมากเหลือเกิน
“พวกเราไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ” ธารีเห็นว่าเธอนั้นจ้องมองตัวเธอเองก็ไม่ได้มีสีหน้าที่รำคาญเผยออกมา เลยพูดขึ้นและชี้ไปทางร้านของหวานที่อยู่ไม่ไกลนัก
ในร้านของหวานเวลานี้มีคู่รักที่นั่งอยู่ไม่น้อย วรินทรกับธารีเข้าไปหาที่นั่งริมหน้าต่าง
วรินทรไม่ได้เปิดปากพูดเพราะบทสนทนาของเธอกับธารีน้อยมากจริงๆ เธอไม่สามารถโง่ได้ถึงขนาดที่ใช้เบาะแสของพี่ชายตัวเองเพื่อไปซักถามอะไรธารีก็เลยต้องสู้เงียบไว้
ธารีเหมือนไม่ถือสาที่เธอปฏิบัติต่อเขาเหมือนไม่สนิท เธอเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มแล้วก็ถามเธอจะดื่มอะไร
“น้ำมะนาวปั่นก็ได้” วรินทรพูด
“งั้นก็เอาช็อคโกแลตร้อนแล้วก็น้ำมะนาวปั่น ขอบคุณค่ะ” ธารีพูดกับพนักงานเสร็จจึงหันหน้ามามองวรินทร “ทำไมเธอมาเดินเที่ยวคนเดียว ไม่ได้มากับทาวัตหรอ ? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนี้รักประธานเจ้าเล่ห์