หนี้รักประธานเจ้าเล่ห์ นิยาย บท 378

ตอนที่ 378 ฉันก็แค่รู้สึกไม่มีความปลอดภัย

แต่สิบสองไม่เห็นว่า หลังจากปิดประตูไปแล้ว ดวงตาที่ใสบริสุทธิ์ของวรินทรตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่

วรินทรถอนหายใจออก เธอเอื้อมมือมาถูขมับขอตัวเองช้าๆ พร้อมกับลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วเธอก็ดีขึ้น

เธอหันเก้าอี้ไปทางอื่น แล้วก็จากไป

ภายในห้อง ห้องของประภาพอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของวรินทร ห้องนี้ถูกตกแต่งด้วยโทนสีเข้มทั้งหมด ตกแต่งด้วยสีขาวกับสีกำ หน้าต่างสีแดงเบอร์กันดี พอปิดม่านลง ทั้งห้องก็มืดไปหมด

“ตอนนี้เธอน่ะไว้วางใจนายแล้วนะ แล้วที่ฉันพูดกับเธอเมื่อกี้อีก ยังไงเธอก็จะอยู่ข้างพวกเราแน่นอน” สิบสองพูดพร้อมดึงเก้าอี้มานั่งอย่างไม่เกรงใจ

ในห้องมืดไปหมด มองเห็นสีหน้าของประภาพไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่ว่าโดนเครื่องลายครามหนักขนาดนั้นหล่นใส่ ก็คงจะไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก

ประภาพไม่ได้ตอบอะไรมา แต่สิบสองก็รู้สึกได้ถึงความโกรธและความไม่พอใจของเขา เขาโทษว่าเป็นความผิดของเธอ

“ฉันไม่ใช่นายนะ ไม่รู้วิธีเรียกความสงสาร และฉันก็ไม่ได้ไม่บอกนายนิ และตอนนั้นนายก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แล้วตอนนี้จะมาว่าอะไรล่ะ?”

“เห้อ อย่าทำแบบนี้อีกนะ” ประภาพเม้มปาก และพูดเสียงต่ำ

“รอแผลนายดีขึ้นก่อนค่อยเริ่มแผนการเดิมแล้วกัน อย่าลืมนะ สิบห้ากำลังจะกลับมาแล้ว ถ้าไม่ได้ยาของชยุตมาด้วย เธอก็จะไม่มีชีวิตต่อ” เสียงของสิบสองเต็มไปด้วยอารมณ์และความหนักแน่น แต่ความจริงเธอไม่ได้ใส่อารมณ์ลงไปแม้แต่น้อย

นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ประภาพเลือกเธอตั้งแต่แรก

“ฉันรู้แล้ว” เขารู้ว่าถึงแม้เขาจะดึงคนกลับมาอยู่ข้างๆเขา แต่ถ้าไม่มียาให้ลุงชยุต เขาก็จะไม่มีวันหลุดจากการควบคุมของเขาได้แน่”

“นายรู้ก็ดีแล้ว อย่าหาเหาใส่หัวอีก ไม่งั้นคนที่จะเดือดร้อนคือพวกนายสองคน” สิบสองส่ายหน้าเบาๆ สายตาของเธอมีแต่ความกังวล

นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้วหลังจากที่เธอโดนสิบสองปฏิเสธไม่ให้เข้าไปเยี่ยมประภาพ

ซึ่งเธอก็ไม่ได้กังวลใจใดๆ อีกทั้งร่างกายเธอนับวันก็ยิ่งดี สุขภาพจิตใจก็ดีโข เหลือเพียงแต่ขา ที่จะใช้เดินก็ยังเป็นเรื่องที่ยากออยู่ เลยยังต้องใช้รถเข็นในการจะเดินไปไหนมาไหน

สิบสองให้แพทย์พิเศษมาตรวจร่างกายหล่อน ถึงได้พบว่าการที่เธอต้องมานรั่งรถเข็นนั้นไม่ได้มีเลศนัยแต่อย่างใด แตเป้็นเพราะขาทั้งสองข้างของวรินทรไม่สามารถเดินได้จริงๆ อันเกิดมาจากกสรที่ชาแช่ในน้ำทะเลเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูกภายในแต่อย่างใด

การที่สิบสองเดืนไม่ได้นี้ สร้างความสบายใจให้แก่สิบสองเป็นอย่างมาก ถ้ามันเป็นอย่างนี้หล่ะก็เธอไม่สามารถที่จะหนีไปไหนได้เลย นั่นทำให้เธอไม่ต้องคอยเผ้าระวังเป็นพิเศษ

วรินทรไปเยี่ยมประภาพมาสองสามครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธเธอเลยไม่ไปหาเค้าแล้ว และก็อยู่ในห้องของตัวเอง เงียบเกินกว่าที่สิบสองคาดการณ์เอาไว้

สิบสองคิดว่าการที่เย็นชาใส่เธอสองสามวันมานี้จะทำให้เธอรู้สึกผิด ใครจะรู้ได้หล่ะว่าผลที่ออกมาจะตรงกันข้ามอย่างนี้

วรินทรมาได้สองสามครั้งก็โดนเธอปฏิเสธไป ทีนี้แม้แต่ประตูก็ไม่เปิดออกมาอีกเลย เหมือนจะรู้ทันว่าสิบสองคิดอะไรอยู่ ไม่หือไม่อือ นั่นทำให้สิบสองเดาใจหล่อนไม่ถูก

สิบสองคิดว่าวรินทรจะเล่นด้วยยาก,ผ่านไปจนถึงวันที่3 ประภาพเองก็เริ่มสงสัย

พอวันที่สามช่วงบ่ายๆ สิบสองเลยไปเคาะห้องเธอดู พบว่าเธอนั่งอยู่บนรถเข็น ห้องนี้ไม่เหมือนกับห้องของประภาพ เปิดม่านหน้าต่างออก ปรากฎแสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทอดเลียผิวกายของเธอ

ภาพนั้นปรากฏอยู่ในสายตาของสิบสอง ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอไม่อาจคาดเดาความรู้สึกของหล่อนได้

“วรินทรคุณประภาพอยากพบเธอ” สิบสองชักสีหน้าและพูดอย่างเบาๆ ในขณะที่เดินเข้ามาข้างหลังวรินทร

วรินทรประหลาดใจก่อนจะหันหน้าไปมอง แล้วจึงหันรถเข็นมาตรงหน้าของสิบสอง มองไสิบสองอย่างเงียบๆแต่ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

สิบสองกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ยังดีที่เธอยังพอมีสำนึกอยู่บ้าง นี่ถือว่าการที่ประภาพบาดเจ็บไปนี่ไม่เสียเปล่า

สิบสองเข็นรถมาส่องวรินทรที่ห้องของประภาพ จากนั้นก็เดินจากไป

ประภาพมีอาการบาดเจ็บที่หลัง, ปกติเค้าไม่ได้เป็นคนสำออยอะไร การบาดเจ็บในครั้งที่ประทะคนกว่าพันคนในตะกูลศรีภักดียังมากกว่านีเอีก นั่นทำให้เค้าพักเพียงสองวันก็เกือบจะหายดีแล้ว

ตอนที่วรินทรไปหานั้นเค้ากำลังผูกเนคไทอยู่ พอเค้าเห็นเธอ ประกายแห่งความสุขปรากฏขึ้นในตาทั้งสองข้างนั้น พอผูกไทเสร็จเค้าก็สวมเสื้อสูทก่อนจะเดินมาหาเธอ

“แผลคุณเป็นยังไงบ้าง?” เธอถามทันทีเมื่อเค้าเดินไปหา ตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความกังวล นั่นทำให้เค้าสุขใจมากๆ

เค้าคุกเข้าลงให้อยู่ในระดับเดียวกับเธอ ก่อนที่จะพูดด้วยประกายตาอบอุ่น

“หายดีแล้วหล่ะ แล้วเธอหล่ะเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่นี่สบายใจมั้ย?ถ้ามีอะไรไม่สะดวกบอกฉันเลยนะ ฉันจะให้คนไปจัดการให้”

“ฉันสบายดี ” วรินทรกัดริมฝีปากพูดอยากสำนึกผิด “วันนั้น… ที่ฉันพูดกับคุณแบบนั้น,ฉันของโทษนะ ฉันแค่รูสึกไม่ปลอดภัย”

“ฉันเข้าใจดี” ประภาพพยักหน้าน้อยๆ เค้าเช้าใจจริงๆว่าผู้ป่วยความจำเสื่อม เค้าไม่มีความจำในอดีตเลยทำให้สับสันและกังวลกับสิ่งรอบๆตัว

“งั้นคุณจะช่วยฉันรื้อฟื้นความทรงจำใช่มั้ย?” วรินทรถามยิ้มอยากอบอุ่น ประกายตานั่นเปร่งไปด้วยความหวัง

นี่เป็นรอยยิ้มแรกของวรินทรในระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา แม้จะไม่กว้าง แต่นั่นก็ถือว่าดีแล้ว

ประภาพลังเลอยู่พักก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เรื่องนี้มันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ฉันจะช่วยเธอฟื้นความทรงจำเป็นขั้นๆไปนะ”

ไม่สัญญาและก็ไม่ปฏิเสธ ต้องบอกเลยว่าการใช้คำของเค้านี่ฉลาดมากเลยจริงๆ

“อื้อ” วรินทรพูดก่อนจะจับสายตามองไปที่เสื้อผ้าของประภาพ “ฉันอยากออกไปสูดอากาศ” เธอกล่าว

“คุณสามารถออกไปได้ทุกเมื่อเท่าที่คุณต้องการเลย” ประภาพกล่าวอย่างไม่ลังเล หากแต่อยู่ในบริเวณคฤหาสนี้ วรินทรไม่มีทางที่จะเป็นอันตรายใดๆได้ เค้าจึงวางใจ

วรินทรย้ายสายตามามองเค้าอย่างตื่นเต้น “จริงหรอ ฉันหน่ะอยากออกไปเดินเล่นตั้งนานแล้ว”

ประโยคนั้นทำเอาประภาพตกใจ

จริงๆแล้วที่เธอบอกว่าจะออกไปสูดอากาศ เธอไม่ได้หมายถึงในคฤหาสหรอเนี่ย?

“วรินทร์..เธอเองก็รู้ว่าศัตรูของฉันมันยังไม่ไป ดังนั้นฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอัตราย...”

“แต่ว่าคุณเพิ่งบอกว่าและก็ไปไหนก็ได้นี่นา” วรินทร์ตาโต มองหน้าเค้าอย่างเอาเรื่อง ก็ไหนเพิ่งพูดไปเองไม่ใช่หรอฦ

ประภาพอายเล็กน้อยจึงเงียบไป แน่นอนเลยเค้าไใ่่น่าให้รอยยิ้มของเธอมาทำอิทธิพลกับเค้าเลย แต่ว่าจากการที่เค้าพยายามดูท่าทางของวรินทร์แล้วนั้น ก็พบว่านั่นเป็นเหมือนจะถากถางเค้าตอนท้ายประโยคซะด้วย

เธออาจจะคิดว่าเค้าผิดคำพูด

วันนี้เค้าต้องไปทำธุระที่ประเทศB ไม่อย่างนั้นเค้าก็จะพาเธอออกไปด้วยตัวของเค้าเอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนี้รักประธานเจ้าเล่ห์