บทที่ 192 ท่านพี่ ข้าอยากไปกับนาง ! (ปลาย)
เมื่อกงชิงเฉิงพาเยี่ยหลิงมาส่งเยี่ยฉวน เยี่ยหลิงก็พลันกระโจนเข้าหาพี่ชายพลางกอดแขนไว้แน่น ราวกับเกรงว่าพี่ของนางจะหายไปไหน
เยี่ยฉวนเอื้อมมือลูบศีรษะของเด็กหญิงอย่างเอ็นดู เขาละสายตาเงยขึ้นมองกงชิงเฉิงซึ่งพูดขึ้นว่า “พี่เยี่ย ถึงแม้ว่าท่านจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้แล้ว แต่ในอนาคตท่านจะต้องเผชิญกับศึกใหญ่แน่นอน ทั้งยังเป็นศึกที่ท่านและสถานศึกษาฉางหลานเป็นผู้ริเริ่ม !” เยี่ยฉวนนิ่งฟังอย่างสนใจ
เสียงคนพูดดังต่อไปอีก ในขณะเดียวกันเขาก็ได้กวาดตามองใบหน้าของทุกคน “คนที่มาที่นี่ล้วนแล้วแต่ได้รับฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจากอิทธิพลที่เกื้อหนุนพวกเขา วันนี้พวกท่านสังหารคนเหล่านี้ เชื่อเถอะว่าพวกผู้มีอิทธิพลทั้งหลายไม่ยอมจบเพียงเท่านี้แน่ ! โดยเฉพาะสถานศึกษาฉางมู่แห่งอาณาจักรต้าอวิ๋น ซึ่งตั้งอยู่ในแผ่นดินชิงกับพวกจากดินแดนอันธกาล… ผู้ทรงอิทธิพลทั้งสองจะต้องยอมทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อรักษาชื่อเสียง วันนี้พวกเขาต้องสูญเสียกำลังคนไปมากมาย ฉะนั้นวันหนึ่งพวกเขาจะต้องกลับมาแก้แค้นเป็นแน่ และเมื่อถึงวันนั้น คนพวกนี้จะไม่ทำตามกฎกติกามารยาทใดทั้งสิ้นอีกต่อไป !!!”
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ คนพูดส่ายหน้าน้อย ๆ “สำหรับตอนนี้ เป็นเพราะเรื่องราวแต่หนหลังระหว่างพวกท่าน ข้าจึงมิอาจก้าวก่าย หากท่านยังมีชีวิตอยู่รอดจนผ่านพ้นวิกฤติไปได้แล้ว อาณาจักรต้าอวิ๋นยินดีต้อนรับท่านทุกเมื่อ และเชื่อว่าอีกไม่นานท่านจะได้ไปเยือนอาณาจักรต้าอวิ๋นสักครั้งภายหลังจากผ่านศึกใหญ่แล้ว ลาก่อน”
จากนั้นกงชิงเฉิงกระแทกกำปั้นค้อมกายแสดงคารวะอำลาต่อเยี่ยฉวนและทุกคน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป แล้วจึงเป็นเสียงคนผู้หนึ่งเดินขึ้นมายืนข้าง เป็นโม่อวิ๋นฉีที่พูดขึ้นว่า “อย่าบอกนะว่าหมอนี่พยายามจะทำดีกับพวกเรานะ ?”
เจียงจิ่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าเจ้าไม่ตาย และพัฒนาก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม เขาจะสานสัมพันธ์ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าปรากฏว่าเจ้าเป็นแค่คนอ่อนด้อย ข้าเชื่อว่าเขาไม่เสียเวลามาเสวนากับเจ้าแม้แต่คำเดียว พวกยอดอัจฉริยะมีความทะนงเชื่อมั่นในตัวเอง จะยอมคบหาแต่กับคนที่ทัดเทียมเสมอกัน และจะยื่นข้อเสนอให้กับคนที่มีความโดดเด่นเข้ารวมกลุ่มด้วย เพื่อคอยเป็นมือเป็นเท้าให้แก่กัน”
โม่อวิ๋นฉีพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าพอจะเข้าใจได้ !” ทันใดนั้นเจียงจิ่วหันมาพูดกับเยี่ยฉวน “จงหนีไปเสีย” ทำเอาทุกคนพากันหันมองเจียงจิ่วด้วยสีหน้าตกตะลึง ! “ว่าไงนะ หนี ?”
หญิงสาวมองตรงเข้าไปในดวงตาเยี่ยฉวนแน่แน่ว “เจ้าต้องหนี ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสรอดชีวิต ถึงอย่างไร การหนีไปตอนนี้… มันก็ยังมีโอกาสคอยเจ้าอยู่ในวันหน้า !”
เยี่ยฉวนส่ายศีรษะดิก ครานี้เจียงจิ่วชักหงุดหงิด “เจ้าจะเป็นคนที่ยอมหัก ไม่ยอมงอเช่นนี้หรือ ? การหนีเพื่อไปตั้งหลัก ไม่ได้น่าอายแม้แต่น้อย !”
ชายหนุ่มมองหน้าคนพูด ริมฝีปากแสยะยิ้มขื่นขม “ถ้าข้าหนี จอมกะล่อนโม่อวิ๋นฉีกับคนอื่นล่ะ ? สถานศึกษาฉางหลานล่ะ ?” เจียงจิ่วนิ่งอึ้งไปด้วยคิดไม่ถึง
คราวนี้ชายหนุ่มจึงหันไปทางโม่อวิ๋นฉีและพวก “ข้ากับน้องไร้ญาติขาดมิตรที่ทำให้พวกเราต้องพะวักพะวง แต่จอมกะล่อนโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อ พวกเจ้าไม่เหมือนข้า ทั้งสองคนยังมีครอบครัวจึงหนีไม่ได้ ถ้าข้าหนีไปเสีย คนพวกนั้นจะต้องทำอันตรายต่อเจ้าและครอบครัว…” กล่าวจบก็เบนสายตามายังหญิงสาว “แม้แต่ท่านก็ต้องพลอยเดือดร้อน”
คำพูดนั้นทำเอาเจียงจิ่วถึงกับนิ่งงันไป
เสียงโม่อวิ๋นฉีเอ่ยเบา ๆ “พี่หัวขโมยเยี่ย เจ้าควรหนีไปเสีย ! สำหรับพวกเรา…” คนฟังส่ายหน้าหนักแน่น และขัดจังหวะขึ้นว่า “ไม่ต้องพูด”
จากนั้นก็เอื้อมมือไปฉวยจับมือเล็ก ๆ ของน้องสาวมากุมไว้ “พวกเราสองพี่น้องกล้าพอ ที่จะยอมรับในผลแห่งการกระทำของเรา”
ในขณะนั้นเจียงจิ่วพูดทันที “อันที่จริงพวกเราเสมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว คนพวกนั้นไม่ยอมรามือจากน้องหลิงเอ๋อร์ ทั้งไม่ปล่อยวางฉางหลานแน่” นางหันไปพูดกับโม่อวิ๋นฉีและคนอื่นที่เหลือ “ถ้าพวกเจ้าอ่อนด้อยหรือโง่เง่า พวกมันคงยอมปล่อยให้เจ้าได้หายใจอยู่ต่อไป แต่นี่พวกเจ้าไม่มีใครอ่อนแอสักคน ซ้ำยังเป็นยอดคนตัวฉกาจซึ่งต่อไปจะนำพาปัญหามาให้พวกมันไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจปล่อยพวกเจ้าให้มีชีวิตอยู่ต่อไป และต้องการกำจัดทั้งหมด !”
โม่อวิ๋นฉีถอนใจเฮือก “เป็นคนเก่งเด่นดัง ก็ผิดแล้ว !” ไป๋เจ๋อชำเลืองหางตาอย่างหมั่นไส้ “โถ ไอ้ขี้คุย กล้าพูดเนอะ !” อีกฝ่ายหันขวับมาตอบโต้ “เหอะคนอย่างเจ้า ข้าขอพูดเลย… ใครเกี่ยวข้องด้วยก็โง่เต็มที่แล้ว !”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์