สรุปเนื้อหา ตอนที่ 2 น้องสาวข้า ใครอย่าแตะ (ปลาย) – หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ โดย Internet
บท ตอนที่ 2 น้องสาวข้า ใครอย่าแตะ (ปลาย) ของ หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
บทที่ 2 น้องสาวข้า ใครอย่าแตะ (ปลาย)
สิ่งที่เรียกว่าผู้ถูกเลือกคือผู้ที่สวรรค์ทรงเลือกไว้
ในโลกชิงฉางมีกลุ่มคนเช่นนี้ พวกเขาดูเรียบง่ายและธรรมดาตั้งแต่เมื่อตอนยังเล็ก แต่แล้ววันหนึ่งพวกเขาก็จะ ‘ตื่น’ ขึ้นมา ซึ่งหลังจาก ‘ตื่น’ แล้ว พวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไป ไม่เพียงแต่ความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่เมื่อออกผจญภัย คนเหล่านี้ก็มักเจอโอกาสที่เฝ้ารอผู้ถูกเลือกอีกมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนของขวัญที่ฟ้าประทานและสวรรค์บันดาลลงมาให้ !
โลกชิงฉางนั้นแบ่งออกเป็น 3 ทวีป เขาอยู่ในทวีปชิงซึ่งประกอบด้วยแคว้นเล็ก แคว้นใหญ่นับร้อยแคว้น ในแคว้นเจียงนับเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว แต่ผู้ถูกเลือกกลับถือกำเนิดขึ้นไม่ถึงสิบคน แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกเลือกนั้นถือเป็นตัวตนที่หายาก ล้ำค่า และยิ่งใหญ่ขนาดไหน
เยี่ยฉวนประสานมือเข้าหากันอย่างช้า ๆ เขารู้ดีว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาคงจะต้องโดนคนในตระกูลบีบบังคับเป็นแน่ และยังอาจจะถูกฆ่าด้วยหากตนไม่ยินยอมให้ตระกูลปลดจากตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเยี่ยแต่โดยดี !
เยี่ยหลางกระตุกยิ้ม “เยี่ยฉวนสังหารข้ารับใช้ต่อหน้าฝูงชนแล้วยังโจมตีท่านผู้เฒ่าตระกูลเยี่ย อกตัญญู ต่ำช้านัก ไม่รู้ว่าตามกฎของตระกูลเยี่ยนั้นสมควรได้รับการลงโทษอย่างไร ?!”
ณ ที่นั้นทุกคนมองไปที่เยี่ยหลางซึ่งยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ตามกฎของตระกูลเราแล้ว สมควรถูกเฆี่ยนจนตายใช่หรือไม่ ?”
เหล่าผู้อาวุโสต่างพยักหน้าเห็นชอบ เยี่ยหลางเป็นผู้ที่ถูกเลือก ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดสายตรงของผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยอีก ต้องไม่เป็นการดีแน่หากขัดแย้งกับเยี่ยหลางและผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยในเวลานี้
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจ้องมองไปที่เยี่ยฉวน “ผู้คุ้มกัน !”
ไม่นานนัก ผู้คุ้มกันประจำตระกูลเยี่ยหลายสิบคนก็พลันปรากฏตัวขึ้นอยู่นอกศาลบรรพบุรุษ
เมื่อเห็นดังนั้นเยี่ยฉวนจึงพูดออกมาทันที “ในตระกูลเยี่ยของเรามีกฎอยู่ว่า เพื่อการยอมรับนับถือและความเคารพของชาวเมือง ผู้สืบทอดตำแหน่งจะต้องไม่ปฏิเสธการท้าสู้จากสมาชิกคนใดก็ตามในตระกูลเยี่ย”
เมื่อกล่าวดังนั้นเขาจึงมองตรงไปที่เยี่ยหลาง “ข้าขอท้าเจ้า !”
เยี่ยหลางหรี่ตาลงและยิ้ม “ท้าสู้ ? ก็เอาสิ แต่เราจะประลองกันโดยเดิมพันด้วยชีวิต แล้วเจ้ากล้าหรือไม่เล่า ?”
“ประลองเป็นตาย !”
เกิดความโกลาหลอึงอลเซ็งแซ่ภายในกลุ่มที่อยู่รอบข้างทันที !
ภายในตระกูลเยี่ย หากสมาชิกในตระกูลเกิดความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน พวกเขาสามารถท้าสู้กันได้ และหากเป็นการท้าดวลแบบเอาชีวิต ก็จำต้องเหลือผู้อยู่รอดได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น !
เยี่ยฉวนยิ้มเยาะ “ได้ มาสู้แลกชีวิตกัน !”
เยี่ยหลางส่ายหน้า “หนึ่งเดือนนับจากนี้ ข้าและเจ้าจะมาตัดสินกัน ว่าใครกันแน่จะเป็นคนมีชีวิตอยู่ และใครกันที่จะต้องตาย ณ เวลานั้นอาจารย์ของข้าจะเพิ่งออกจากช่วงกักตัวบำเพ็ญตนได้พอดี ทั้งข้าและเจ้า เราจะสู้จนกว่าจะมีใครตายกันไปข้าง ถึงตอนนั้นท่านอาจารย์จะช่วยเป็นพยานได้หากข้าต้องถูกกล่าวหาว่าลงมือฆาตกรรมเจ้า !”
เยี่ยฉวนคิดทบทวนเล็กน้อยก่อนตอบตกลง “ได้ !”
เมื่อไม่มีใครพูดอะไรแล้ว เยี่ยฉวนจึงอุ้มเยี่ยหลิงเดินหลังตรงออกมาจากศาลเจ้าบรรพบุรุษของตระกูลเยี่ย
เมื่อมองเยี่ยฉวนและน้องสาวเดินจากไปจนลับสายตา ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจึงหันกลับมาถามเยี่ยหลาง “เยี่ยฉวนต่อสู้ติดพันอยู่ที่โลกภายนอกเกือบตลอดเวลา ทักษะติดตัวนั้นนับว่าแข็งแกร่งนัก เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะเอาชนะเขาได้ ?”
รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปากของเยี่ยหลาง จิตสังหารในแววตาฉายชัด “พลังข้าเพิ่งจะตื่นขึ้นมา ดังนั้นจิตและร่างจึงยังไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ แต่หากรวมเป็นหนึ่งแล้วการสังหารเจ้าเยี่ยฉวนมันก็ง่ายพอ ๆ กับการบี้มด ! ฉะนั้นหลังจากผ่านเดือนนี้ไป ทั่วทั้งเมืองชิงจะไม่มีผู้ใดเทียบชั้นกับข้าได้อีก !”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยจึงพยักหน้าและยิ้มอย่างพอใจ “นับเป็นเรื่องดี”
เยี่ยหลางมองผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างแล้วกระซิบว่า “คนของข้าที่ถูกส่งไปที่หนานซานไม่ได้กลับมา และใบหน้าของเยี่ยฉวนนั้นก็ดูซีดผิดปกติ เยี่ยกู เจ้าจงไปสืบหามาซะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยฉวนที่หนานซาน”
ผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยพยักหน้ารับและหมุนตัวจากไป
…
หลังจากกลับไปที่ห้องข้างในสวน เยี่ยฉวนวางเยี่ยหลิงลงบนเตียงเบา ๆ จากนั้นก็นวดแก้มพอง ๆ ของนางก่อนจะเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เจ็บมากหรือไม่ ?”
เยี่ยหลิงปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทิ้งลวก ๆ “ไม่ ข้าไม่เจ็บเลยสักนิด ! ท่านพี่ ทำไมพวกเขาถึงได้กล้าปลดท่านจากตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเยี่ยกันเจ้าคะ ? ท่านลงทั้งแรงกายแรงใจไปมากนักเพื่อตระกูลนี้ เหตุใดเยี่ยหลางจึงเป็นผู้ที่ถูกเลือก ส่วนท่านพี่คือคนที่ควรกำจัดทิ้ง ? นี่มันไม่ยุติธรรม !”
เยี่ยฉวนสั่นหัว เขายกมือขึ้นลูบแก้มที่บวมแดงของเยี่ยหลิงอย่างแผ่วเบา “มันไม่มีความยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมหรอกในเวลานี้ เป็นเพราะพี่ไร้ความสามารถเอง เจ้าจึงถูกคนอื่นทำร้ายเอาได้ !”
เยี่ยหลิงส่ายหน้า พลันมีน้ำตาไหลเอ่อออกมาอีกครั้ง “ผิดแล้วเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่ไร้ประโยชน์ ข้าช่วยท่านพี่ไม่ได้แล้วยังจะมีแต่ถ่วงแข้งถ่วงขา”
เยี่ยฉวนระบายยิ้มอ่อนก่อนจะดึงจมูกน้องสาวเล่น “เด็กโง่ ข้าเป็นพี่ชายเจ้านะ คนเป็นพี่ย่อมต้องปกป้องน้องสาวอยู่แล้วสิ มันเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”
เยี่ยหลิงลุกขึ้นและกดจมูกลงบนหน้าผากของพี่ชายเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านพี่ เมื่อข้าดีขึ้น ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ แล้วจากนั้นข้าก็จะปกป้องท่าน !”
เยี่ยฉวนคลี่ยิ้มและยกมือขึ้นลูบหัวเยี่ยหลิง “ดีมาก เอาเป็นว่าตอนนี้ข้าจะรักษาเจ้าก่อนก็แล้วกัน ! พักก่อนสิ นี่มันก็สายแล้ว !”
เยี่ยหลิงพยักหน้ารับคำ “ท่านพี่ ท่านเล่านิทานให้ข้าฟังหน่อย”
เพราะมารดาจากไปตั้งแต่เขาอายุสิบปี จึงทำให้ความทรงจำเยี่ยฉวนต่อนางค่อนข้างเลือนราง
ในเวลานั้น ที่ประตูหลังจวนตระกูลเยี่ยถูกเปิดออก มารดาของชายหนุ่มกำลังน้ำตาไหลพรากในขณะที่กอดเขาเอาไว้แน่น
ไม่ไกลจากตรงนั้น มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีดำสนิท อันที่จริงชายผู้นั้นไม่ได้ยืนอยู่ หากแต่ร่างของเขากำลังลอยอยู่เหนือพื้นต่างหาก !
ในความทรงจำอันเลือนราง ชายคนนั้นได้พูดประโยคหนึ่ง “นายหญิง หากท่านไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เกรงว่าท่านปรมาจารย์จะต้องโกรธและรู้ตำแหน่งที่อยู่ของพวกเราเป็นแน่ เมี่อถึงตอนนั้นโลกใบนี้คงถึงคราวดับสูญ จนแม้แต่ตระกูลเราเองก็ไม่อาจดำรงอยู่ !”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นพูด ผู้เป็นมารดาก็ค่อย ๆ ผละเขาจากอ้อมกอดและบรรจงสวมแหวนให้ “ฉวนเอ๋อร์ เจ้าต้องดูแลหลิงเอ๋อร์แล้วก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าเกลียดแม่เลยนะ…”
เมื่อกล่าวจบ มารดาของเขาก็หันหลังจากไปพร้อมกับชายในชุดคลุมสีดำ
เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งตามหลังคนพวกนั้นไปด้วยท่าทางราวกับคนเสียสติ แต่ไม่ว่าจะวิ่งเร็วเท่าใดก็ไม่อาจตามทันได้ เพราะทั้งสองคนเหาะขึ้นไปบนฟ้าและได้จากไปแล้ว
ทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนั้น เขาก็ยังไล่ตามไปจนสุดกำลังจนกระทั่งไม่เหลือทางให้ไปอีก แต่กระนั้นมารดาก็ไม่เหลียวหลังกลับมาดูเลยแม้แต่นิด นางหายลับขึ้นไปบนฟ้าเหมือนกับผู้ชายในชุดเสื้อคลุมสีดำคนนั้น
ไม่นานนักเยี่ยฉวนก็หลุดจากภวังค์ เขากำแหวนในมือขวาแน่นทั้ง ๆ ที่ยังมีบาดแผลอยู่ตรงฝ่ามือ เมื่อแผลเปิด เลือดหนึ่งหยดของชายหนุ่มจึงหยดลงบนแหวนสีดำวง และเมื่อได้สัมผัสกับเลือดมันก็พลันสั่นไหว เยี่ยฉวนรีบก้มลงมองด้วยความตื่นตะลึง ในขณะที่ก้มศีรษะลงนั้น ประกายแสงจากแหวนพลันเปลี่ยนเส้นผมและคิ้วของเขาให้กลายเป็นสีน้ำหมึกดำราวกับอนธการลึกสุดหยั่ง
เยี่ยฉวนหายตัวไปทันที และเมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวบนท้องฟ้าที่ไร้จุดสิ้นสุด
ห่างออกไปไม่ไกลมีหอคอยสีดำความสูงสิบสองชั้นกำลังลอยอยู่ หอสูงถูกล็อคไว้ด้วยโซ่สีดำขนาดใหญ่สี่เส้นซึ่งมีความหนาพอ ๆ กับเสา และที่ด้านบนสุดของหอคอยนั้นก็ยังมีกระบี่เสียบอยู่อีกสามเล่ม !
บรรยากาศที่ปกคลุมทั่วทั้งหอคอยนั้นช่างมืดมน
เยี่ยฉวนระงับความตกใจเอาไว้ก่อน เขามองไปที่ด้านบนสุดของทางเข้าชั้นแรก มีนักโทษยืนเฝ้าคุมเวรยามอยู่ 2 ตน ทั่วทั้งกายพวกเขาเป็นสีแดงฉานดังถูกไปด้วยโลหิต
ทั้งสองฝั่งของประตูถูกจารึกด้วยอักษรสีแดงสองบรรทัดเข้าคู่กัน
ทางด้านซ้ายเขียนเอาไว้ว่า กักขังผืนฟ้า กักขังแผ่นดิน กักขังเทพเซียนและปีศาจไว้รวมกันทุกหนแห่งบนสรวงสวรรค์
ทางด้านขวาเขียนเอาไว้ว่า ลัทธิเต๋าเป็นสิ่งต้องห้าม โชคชะตาเป็นสิ่งต้องห้าม ทั่วทั้งโลกา อมนุษย์ผู้ไม่แก่ไม่ตายและมนุษย์ผู้เวียนว่ายตายเกิด ทุกผู้ทุกตนเป็นสิ่งต้องห้าม !!!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์