หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ นิยาย บท 46

บทที่ 46 หัวใจที่แท้จริง ! (ต้น)

ทันใดนั้นทุกคนบนดาดฟ้าเรือพลันเงียบเสียงลง

ชายชราในชุดคลุมสีเทานิ่งเงียบ เขาเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึก ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคาดเดาได้ว่าคนผู้นี้กำลังโกรธหรือว่ามีความสุขกันแน่

แน่นอนว่าที่จริงเขาย่อมต้องรู้สึกโกรธแค้นอยู่ในใจ เนื่องจากไม่เคยมีผู้ใดกระทำการอาจหาญเหยียบย่ำสำนักอัปสรเมรัยต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้มาก่อน แต่ถึงแม้จะขุ่นเคืองสักแค่ไหนก็ตาม ในเวลานี้ชายชราก็ไม่กล้า ระบายมันออกมา

เซียนกระบี่ !

ถ้าหากว่าสำนักอัปสรเมรัยรวบรวมกองกำลังจากสาขาที่มีอยู่ทั้งหมด อาจพอเป็นไปได้ว่าจะสามารถ รับมือกับเซียนกระบี่หนึ่งคนได้อย่างสูสี แต่นี่เป็นเพียงการวางแผนเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีกำลังรบที่สมดุลกันเพียงเท่านั้น ใครเลยจะรู้ว่าเซียนกระบี่ยังมีพรรคพวกเพื่อนพ้องอีกหรือไม่ ? หรือหากนางรู้จักมักจี่กับกองกำลัง หนุนหลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ล่ะ ?

และหากสตรีลึกลับผู้นั้นเทพเป็นเซียนกระบี่จริง ๆ สำนักอัปสรเมรัยย่อมไม่ได้อยู่ในระดับที่จะต่อกรกับนางได้เลยแม้แต่น้อย

ต่อให้นางไม่มีพวกพ้องหรือกองกำลังอื่นคอยหนุนอยู่เบื้องหลังจริง ๆ ทว่าลำพังแค่นางเพียงคนเดียวก็สามารถถล่มสำนักอัปสรเมรัยให้ราบคาบได้แล้ว !

เทพเซียนกระบี่ !

ความสามารถในการต่อสู้ของคนประเภทนี้น่ากลัวเพียงใดน่ะหรือ ?

นอกเหนือจากผู้พิทักษ์เต๋าแห่งจักรวาลแล้ว คนที่ไม่ต้องหวาดกลัวผู้ใดก็คือผู้ฝึกกระบี่ขั้นเซียนขึ้นไป ! และในบรรดาตำแหน่งที่บรรลุได้ยากที่สุด ก็เห็นจะเป็นเต๋าแห่งกระบี่นี่แหละ !!!

ดังนั้นแม้ว่าสิ่งที่สตรีลึกลับพูดมาจะทำให้เขาต้องอับอายอย่างมาก แต่ชายชราก็ไม่มีความกล้าพอที่จะโต้แย้งอะไรอยู่ดี

ข้อหนึ่งที่ควรรู้ก็คือผู้ฝึกกระบี่มักจะมีนิสัยแปลก ๆ ถ้าขืนยังดึงดันปริปากมากกว่านี้อีกหนึ่งคำแล้วละก็ เขาอาจจะต้องตายที่นี่วันนี้เลยก็ได้ !

ชายชราในชุดคลุมสีเทาเลิกจมอยู่ในความคิด เขาหันไปมองเยี่ยฉวน เห็นได้ชัดว่าการที่สตรีลึกลับผู้นั้นยอมหยุดลงมือ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะชายหนุ่มตรงหน้าเขาคนนี้

ผู้ฝึกกระบี่มักไปไหนมาไหนอย่างอิสระ แต่เมื่อมีลูกศิษย์ไว้สืบทอดแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อีกต่อไป

ศิษย์ผู้สืบทอดแห่งเซียนกระบี่ !

ชายชราในชุดคลุมสีเทารู้สึกสงสัยไม่น้อย อันที่จริงพวกเขาควรพยายามอย่างเต็มที่ในการเอาอกเอาใจเพื่อให้คนผู้นี้รู้สึกพอใจสิจึงจะถูก แต่ดูสิว่าคนของเขาทำอะไรลงไป !

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ชายชราในชุดคลุมสีเทาก็พลันเดินเข้าไปหาเยี่ยฉวน จากนั้นจึงงอนิ้วและกระดิกเรียกของสิ่งหนึ่งออกมา มันเป็นแผ่นป้ายสีม่วงที่ถูกยื่นมายังเยี่ยฉวน “สหายเอ๋ย ความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นระหว่างท่านและสำนักอัปสรเมรัยได้ถูกชำระสะสางไปแล้ว นี่เป็นแผ่นป้ายอภิสิทธิ์จากทางสำนักอัปสรเมรัย ขอให้สหาย โปรดรับไว้”

อีกด้านหนึ่ง ฮั่นเซียงเหมิงก็เร่งรีบอธิบายขึ้นอย่างรวดเร็ว “หากใช้แผ่นป้ายสีม่วงนี่ ท่านจะได้รับส่วนลดครึ่งหนึ่งหากซื้อของจากในสำนักอัสรเมรัยในอนาคต นอกจากนี้แล้วท่านยังสามารถฝากขายสิ่งของอะไรก็ได้ในสำนักอัปสรเมรัยโดยที่เราจะไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ทั้งนี้ยังมีสิทธิประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเราจะแจ้งให้คุณชายเยี่ยทราบในภายหลัง”

แน่นอนว่าเยี่ยฉวนไม่ได้ปฏิเสธ เขารับแผ่นป้ายอภิสิทธิ์สีม่วงนั่นมาก่อนจะกำหมัดแน่นและกล่าวว่า “เอาละ ถ้างั้นข้าขอไปพักผ่อนก่อนละกัน”

หลังจากนั้นเขาก็ดึงเยี่ยหลิงให้มาด้วยกันก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

เมื่อคล้อยหลังเยี่ยฉวนและน้องสาวไปแล้ว ฮั่นเซียงเหมิงและชายชราข้างนางก็ค่อย ๆ คุกเข่าลงช้า ๆ

ชายชราในชุดคลุมสีเทาค่อย ๆ หลับตาลง “ปู่ของเจ้าเคยเป็นคนของข้า แน่นอนว่าข้าไม่ได้ปฏิบัติกับ เขาอย่างคนใต้บังคับบัญชา หากแต่นับถือเป็นเหมือนพี่น้อง เจ้าเป็นหลานสาวของเขา จึงนับว่าเป็นหลานสาว ของข้าด้วยเช่นกัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์