หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ นิยาย บท 81

บทที่ 81 กลัวอะไร ? จัดการมันเลย ! (ต้น)

ในเวลาถัดมาไม่นาน เสียงร้องลากยาวของโม่อวิ๋นฉีก็ได้ดังก้องไปทั้งภูเขา

เที่ยงวัน ภายในหอประชุมแห่งสถานศึกษาฉางหลาน

อาจารย์ใหญ่นั่งหัวโต๊ะ มือยกขวดน้ำเต้าใส่เหล้าหมักขึ้นดื่มอย่างต่อเนื่องท่าทางสลึมสะลือด้วยฤทธิ์ สุรา ซ้ายมือของเขาคือจี้อันซื่อซึ่งกำลังกัดเล็มปลายตะเกียบในมือเล่น ส่วนขวามือคือชายผมเกรียนที่ในมือมี พวงลูกตุ้มเหล็ก ผิวหน้าของลูกตุ้มแต่ละลูกต่างสุกใสมันวาวสะท้อนแสงเป็นประกายวาววาม เห็นแว่บเดียวก็ เดาออกว่าไม่ใช่ลูกตุ้มเหล็กธรรมดา

ที่นั่งตรงข้ามกับชายผมเกรียนคือโม่อวิ๋นฉี ท่าทางของเขากระวนกระวาย ทั่วใบหน้าฟกช้ำทั้งม่วงดำ ตามร่างกายมีร่องรอยฝ่าเท้าของใครบางคนประปรายทั่วไป หากที่ร้ายยิ่งกว่าคือสายตาของชายผมเกรียนฝั่ง ตรงกันข้ามที่ลอบชำเลืองมองอย่างไม่เป็นมิตรอยู่บ่อยครั้ง !

ทันใดนั้นกลิ่นหอมอบอวลพลันโชยมาเตะจมูกของคนในโต๊ะอาหาร

อาจารย์ใหญ่ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันจี้อันซื่อก็ได้ขยับนั่งตัวตรง มือเตรียมจับตะเกียบขึ้นมาถือพร้อมใช้งาน

เยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงสองพี่น้องเดินออกมาจากในครัว ในมือของแต่ละคนต่างประคองถาดอาหาร ชายหนุ่มยกไก่อบหนังมันกรอบสีเหลืองทองอมน้ำตาลที่ชวนให้ทุกคนในโต๊ะถึงกับน้ำลายสอ ส่วนเยี่ยหลิงก็ยกถาดปลานึ่งซึ่งเรียกน้ำย่อยได้ไม่แพ้กัน !

เมื่อจานอาหารถูกวางลงบนโต๊ะ ทั้งอาจารย์ใหญ่จี้และจี้อันซื่อก็เริ่มลงมือกินทันที !

ทั้งสองกินอาหารตามปกติ ทว่าด้วยความเร็วชนิดที่ทำเอาทั้งชายผมเกรียนและโม่อวิ๋นฉีได้แต่นั่งมอง อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

อันที่จริงความเร็วของชายชรายังนับว่าธรรมดาเมื่อเทียบกับจี้อันซื่อ ด้วยความเร็วระดับนี้ หากจะอธิบายความรุนแรงคงเปรียบได้กับเหล่าวายร้ายทีเดียว นางหยุดพักเพื่อหายใจน้อยกว่าสิบครั้ง ในที่สุดไก่อบที่วางตรงหน้าของจี้อันซื่อก็เหลือแต่กระดูก ขณะที่ปลานึ่งมีสภาพไม่ต่างกัน คงเหลือแต่ก้าง

ชายผมเกรียนและโม่อวิ๋นฉี ทั้งสองพากันมองคนทั้งคู่อย่างประหลาดใจ เพราะเขาทั้งสองเพิ่งเริ่มหยิบ ตะเกียบมาถือไว้เท่านั้น

อาจารย์ใหญ่ปรายตาไปทางจี้อันซื่อ “เพลาลงบ้าง !”

จี้อันซื่อไม่ได้ตอบโต้ แต่กลับยกตะเกียบขึ้นดูดอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะหันหาเยี่ยฉวน “มีอีกหรือไม่ ?”

ทุกคนถึงกับอึ้ง “…”

ผ่านไปสักพัก ภายในหอประชุมแห่งสถานศึกษาฉางหลานก็กลับอยู่ในความสงบเงียบ ทุกคนยังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวเหมือนเดิม จานชามวางอยู่บนโต๊ะราวเจ็ดหรือแปด ทุกจานล้วนเกลี้ยงเกลา !

คนผมเกรียนและโม่อวิ๋นฉี พวกเขามีท่าทีเหนื่อยหน่ายท้อแท้ยิ่งนัก ด้วยพวกเขาเพิ่งกินอาหารได้เพียง ไม่กี่คำ…

เยี่ยฉวนสองพี่น้องหันมาส่งยิ้มให้กัน เพราะพวกเขากินจนอิ่มแปล้มาแล้วจากในครัว !

เมื่อได้เวลาอันสมควร อาจารย์จี้จึงเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “เอาละ ข้าจะแนะนำศิษย์ใหม่ให้พวกเจ้าได้รู้จัก”

ว่าแล้วชายแก่จึงชี้ไปยังชายผมเกรียน “นี่คือไป๋เจ๋อ มาจากเทือกเขาหมางทางตอนเหนือ เป็นคนครึ่ง อมนุษย์”

ชายหัวเกรียนผู้มีนามว่าไป๋เจ๋อลุกขึ้น กล่าวทักทายทุกคนในโต๊ะ หากแต่หางตายังคงจับจ้องไปที่โม่ อวิ๋นฉีด้วยแววตาไร้ปรานี

โม่อวิ๋นฉีกระตุกมุมปาก ก่อนจะตวัดสายตามาทางเยี่ยฉวนซึ่งฉายชัดแววโกรธระคนเกลียด

เยี่ยฉวนนิ่ง “…”

ต่อมาเขาชี้ไปที่โม่อวิ๋นฉี “โม่อวิ๋นฉี จากเมืองโม่ที่ตั้งอยู่ชายแดนทางตอนใต้ เป็นคนที่โดดเด่นและมี เอกลักษณ์ในด้านความเร็ว ถ้าหมั่นฝึกปรือทักษะยุทธ์โดยเน้นด้านความเร็วให้มากเป็นพิเศษ แม้จะใช้ความ พยายามเพียงกึ่งหนึ่ง แต่ก็สามารถก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นสองเท่า นอกจากนี้เขายังมีความเชี่ยวชาญใน การใช้ไม้เท้าและมีดบิน !”

“มีดบิน !”

เยี่ยฉวนคิดในใจ ‘เจ้านี่ปกปิดข้า !’

ทันใดนั้นโม่อวิ๋นฉีก็พลันชี้มาทางเยี่ยฉวน “ผู้เฒ่า แนะนำเขาบ้างสิ !”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์