คำพูดของสาริศา ทำให้ดวงตาของชัชวาลฉายแววตาความเศร้าโศกออกมา พอนึกถึงเพชร
เขามักจะนึกถึงภาพที่เล่นด้วยกันในสวนสาธารณะกับเพชรในสมัยเด็กๆ
เพชรในตอนเด็กมักจะตัวติดกับเขา เหมือนแมลงหวี่ที่คอยติดตามตัว เขายังรังเกียจและเบื่อเธอมาก และไม่ยอมพาน้องไปสาวไปเล่นด้วยกัน
กระทั่งพ่อแม่เสียชีวิตทั้งคู่ ถึงได้ค้นพบว่าเขาหลงเหลือแค่เจ้าแมลงหวี่ตัวนี้ที่เป็นญาติเพียงคนเดียวแล้ว
เธอยังเด็กมากนัก จำต้องได้รับการปกป้อง เวลานั้นเขาถึงได้ตระหนักถึงภาระและความรับผิดของตัวเอง
ชัชวาลพูดเบาๆว่า “พ่อแม่ผมเสียชีวิตไปสิบกว่าปีก่อน เพชรเป็นญาติคนสุดท้ายของผมที่เหลืออยู่”
สาริศาเองก็แสดงออกถึงความเสียใจอย่างมาก
เธออยากจะวกกลับมาที่เรื่องประเด็นหลัก เรื่องสัมภาษณ์ชัชวาลเกี่ยวกับนิทรรศการวัตถุโบราณ ไม่คิดเลยว่าชัชวาลกลับไม่อยากพูดต่อเอง
ชัชวาลพูดว่า “เอาล่ะ สิ่งที่เราคุยกันก็พูดแค่นี้พอ สิ่งที่ควรพูดกับคุณก็พูดไปหมดแล้ว”
นี่เป็นการไม่ต้อนรับแขกอย่างเธอ
สาริศาคิด ภารกิจสัมภาษณ์ของFS Magazine ยังไม่เสร็จสิ้นเลยนะ เธอจะไปจากที่นี่แบบนี้ไม่ได้
สาริศาพูดว่า “ คุณชัชวาล ฉันแค่อยากถามคุณเกี่ยวกับนิทรรศการวัตถุโบราณสักสองสามคำถาม ได้มั้ยคะ เราไม่คุยเรื่องอื่น ได้มั้ยคะ”
หางตาชัชวาลปรากฏรอยยิ้มอยู่เล็กน้อย รอยยิ้มนั่นเป็นความรู้สึกดูถูกสาริศา ราวกับคำพูดของเธอน่าขันมากอย่างนั้น
เขาพูดว่า “คุณคิดว่าธีภพให้คุณมาสัมภาษณ์ผมจริงๆ เพื่อนิทรรศการโบราณครั้งนี้เหรอ ผมค้นพบว่า คนอย่างคุณโง่ไปหน่อยๆ มิน่าล่ะถึงถูกธนพัตหลอกเอา ก็สมควรแล้ว”
คำพูดของชัชวาลหมายความว่ายังไง ธีภพเรียกให้เธอสาริศามาสัมภาษณ์ชัชวาล
เป้าหมายที่แท้จริงของเขาไม่ใช่การสมัภาษณ์ แล้วคืออะไรล่ะ! ธีภพกับชัชวาลคนนี้ยืนอยู่ในสมรภูมิรบฝั่งเดียวกันเหรอ หัวใจของสาริศามีคำถามผุดขึ้นมามากมาย
ชัชวาลพูดว่า “บางที คุณก็รู้อยู่เต็มอกว่าธนพัตเป็นคนแบบไหน คุณก็แค่หมุกมุ่นอยู่กับชื่อเสียงคุณนายตระกูลกีรติเมธานนท์คำนี้อยู่ ยังมีผลประโยชน์อยู่ ธนพัตเย็นชาขนาดนั้น คุณช่างอดทนเก่งจริงๆ”
คำพูดของชัชวาลช่างระคายหูเหลือเกิน สาริศาทนฟังต่อไม่ไหว แท้จริงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสัมภาษณ์ต่อไปแล้ว
สาริศาไม่ได้ดื่มกาแฟสักอึก ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไป
สุดท้ายชัชวาลก็พูดออกมาว่า “สาริศา หวังว่าคุณจะคิดถึงตัวเองก่อน กลับไปคิดให้ดีถึงคำพูดที่ผมพูดออกไป อนาคตจะได้ไม่เสียใจว่าผมไม่ได้เตือนคุณ”
บรรยากาศการสัมภาษณ์ที่ไม่มีความสุขได้จบสิ้นลงแล้ว
สาริศากลับบ้านอย่างไร้ความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงตลอดทาง
ภารกิจสัมภาษณ์ไม่ได้เสร็จสมบูรณ์ คำถามในการสัมภาษณ์ที่เธอเตรียมพร้อมไว้ ยังไม่ได้เอ่ยถามออกไปสักประโยค ทว่ากลับโดนชัชวาลตอกกลับมาอย่างหมดสภาพ
เมื่อกลับถึงบ้าน เธอก็พบว่าธนพัตได้นั่งอ่านนิตยสารอยู่บนโซฟาแล้ว
ธนพัตเห็นเธอจึงพูดว่า “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้เลิกงานเร็วจัง”
“อ้อ วันนี้มีสัมภาษณ์ค่ะ สัมภาษณ์เสร็จแล้ว ฉันก็กลับมาเลย” สาริศาตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เธอจ้องมองแผ่นหลังของธนพัต ลังเลว่าจะเตือนธนพัตเรื่องเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้นดีหรือไม่
ตรึกตรองอยู่สักพัก เธออดใจไม่ไหว จึงถามออกมาว่า “ธนพัตคะ คุณไปสืบเรื่องที่ฉันถูกลอบร้ายเมื่อสองปีก่อนได้แล้ว แต่สืบเรื่องคนที่ลักพาตัวคุณในตอนนั้นไม่ได้เหรอคะ คุณปู่ก็ตรวจสอบไม่ได้เหรอคะ”
สาริศาคิดว่า ขอเพียงหาตัวคนที่ลักพาตัวในตอนนั้นเจอ บางทีก็อาจจะทำให้รู้ว่าตกลงว่าพชิราเสียชีวิตยังไงในตอนนั้น
ธนพัตก็ไม่จำเป็นต้องทนรับการประณามหยามเหยียดแบบนี้อีกต่อไป
เช่นนั้น ปมในใจของชัชวาลก็จะคลี่คลายออกแล้ว ไม่แน่ธนพัตกับเขายังสามารถกลับมาคืนดีกันเหมือนเมื่อก่อน
ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็รักพชิรามากมายขนาดนั้น
ธนพัตเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ทำไมจู่ๆคุณก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ”
“ฉัน ฉันก็แค่คิดไปเรื่อยเปื่อย เลยก็ถามไปเรื่อยเปื่อยค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หวานเย็น กรุ่นใจ
สวย แต่ โง่ดักดาน แล้วไงคุณนางเอก...
ทำไมนางเอกต้องเป็นควายตลอด...