ปลายฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลานโจว อากาศหนาวจัดและมีฝนตกบ่อยครั้ง
เสิ่นชูยืนอยู่ในสวนและเปียกโชกไปทั้งตัว ร่างของเธอสั่นสะท้านตลอดเวลา
คนรับใช้ของตระกูลป๋อเดินผ่านไปผ่านมา พวกเขาผ่านไปมาหลายครั้งแต่ไม่มีใครหยุดถามไถ่ ราวกับว่าเสิ่นชูไม่มีตัวตน พวกเขานำทางแพทย์ในชุดเสื้อคลุมสีขาวเข้าไปในวิลล่าอย่างนอบน้อม
ไม่มีใครสนใจเสิ่นชู ไม่มีใครเหลือบสายตามองเธอผู้เป็นนายหญิงที่ถูกต้องตามกฎหมายของตระกูลป๋อ
ลึก ๆ แล้วเสิ่นชูยังรู้อีกด้วยหลังจากอยู่กับครอบครัวป๋อมานานกว่าสามปีว่าเธออาจไม่มีความสำคัญเทียบเท่ากับสุนัขที่น้องสาวของป๋อมู่เหนียนเลี้ยงเอาไว้
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ได้สนิทสนมอะไรกับหลินเซียงหยาพี่สะใภ้ของป๋อมู่เหนียน เขารักหลินเซียงหยามากกว่าสิ่งใด
เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเสิ่นชูและหลินเซียงหยาตกลงไปในสระว่ายน้ำด้วยกัน ส่วนที่ลึกที่สุดของสระลึกเพียงหนึ่งเมตรครึ่ง กระนั้นป๋อมู่เหนียนกลับรีบพุ่งตัวลงไปในน้ำและช่วยหลินเซียงหยาทันทีโดยไม่แม้จะชายตามองเสิ่นชูที่ยังคงดิ้นรนอยู่ในน้ำ
เขาวิ่งกลับไปที่วิลล่าพร้อมกับหลินเซียงหยาพี่สะใภ้ของเขาในอ้อมแขน หลังจากนั้นเขายังสั่งให้ตามแพทย์ที่ดีที่สุดในเมืองมาตรวจร่างกายของหลินเซียงหยา
ทุกคนในครอบครัวป๋อรุมล้อมหลินเซียงหยา ตรงกันข้าม พวกเขาปฏิบัติต่อเสิ่นชูราวกับเธอเป็นขยะไร้ค่าและอากาศธาตุ ไม่มีคำพูดแสดงความห่วงใยต่อเสิ่นชูแม้แต่น้อย
เสิ่นชูลากฝีเท้าพาร่างที่อ่อนล้าของเธอกลับไปที่ห้องอย่างเชื่องช้า เธออาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดนอนชุดเก่า ปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่ออบอุ่นร่างกาย เธอผล็อยหลับไปจากการที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันก่อนที่จะทันรู้ตัว
..…..
"ลุกขึ้น!"
เสียงเย็นชาดังขึ้นข้างหูของเสิ่นชู
เสิ่นชูลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นผ้าห่มบนร่างของเธอถูกเปิดออก เมื่อเห็นว่าเป็นป๋อมูเนียน ดวงตาของเธอแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
“มู่เหนียน เซียงหยาเป็นอย่างไรบ้าง” เสิ่นชูลึกขึ้นนั่ง ใช้มือถูนวดขมับ เธอเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองของป๋อมู่เหนียน เธอเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ฉันไม่ได้ผลักเธอ”
ป๋อมู่เหนียนมองมาที่เธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขากล่าวอย่างเย้ยหยัน “ลุกขึ้น ตามผมไปที่ห้องโถงบรรพชน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เสิ่นชูตื่นเต็มตาในทันที เธอมองไปที่ป๋อมู่เหนียนอย่างไม่เชื่อสายตา เธอฝืนต่อความเจ็บปวดในร่างกายและถามเขา “คุณหมายความว่าอย่างไร”
"ขอขมา" ป๋อมู่เหนียนไม่แม้แต่จะมองมาที่เธอ เขาลากเสิ่นชูออกจากห้องราวกับว่ากำลังลากสิ่งสกปรก
ป๋อมูเหนียนขุ่นเคืองใจอย่างมากและไม่ต้องการพูดอะไรกับเสิ่นชูอีก ร่างกายของหลินเซียหยาอ่อนแอและไม่แข็งแรงอยู่แล้ว แม้จะรีบเรียกหมอทันทีหลังจากที่เธอตกน้ำ แต่ลูกในท้องของเธอก็ยังเอาชีวิตไม่รอด
เด็กคนนั้นเป็นสายเลือดเดียวของพี่ชายของเขา แต่เพราะเสิ่นชู เด็กจากไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ
เมื่อเสิ่นชูรับฟังคำบอกเล่าของเขา เธอนิ่งงัน รู้สึกราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็นตั้งแต่หัวจรดเท้าในอ่างน้ำเย็นในฤดูหนาว ความรู้สึกที่ทำให้ขนลุกไปทั้งตัว
ห้องโถงบรรพชนของตระกูลป๋อเป็นสถานที่ที่อันตราย คนสุดท้ายที่เข้าไปที่นั่นไม่กลับออกมาอีกเลย
“มู่เหนียน ฉันไม่ได้ทำจริง ๆ ฟังฉันนะ...” เสิ่นชูพยายามดิ้นให้หลุดจากเงื้อมมือของป๋อมู่เหนียนแต่ก็ไร้ประโยชน์ ความเจ็บปวดทำให้เธอสีหน้าของเธอซีดเผือด เขาจับเธอแน่นขึ้น
“ถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็พูดกับตระกูลป๋อ” เสียงเย็นชาของเขาดังขึ้นจากเบื้องหน้า เสิ่นชูเดินโซซัดโซเซตามหลังป๋อมู่เหนียน เธอลอบมองเสี้ยวหน้าของป๋อมู่เหนียน เธอยอมเสี่ยงตัดสัมพันธ์กับครอบครัวเพื่อแต่งงานกับเขาเพราะรูปลักษณ์ที่ดีของเขา
แต่นับตั้งแต่เธอแต่งงานกับเขา เขาไม่เคยแสดงความเมตตาต่อเธอเลย
เธอเชื่อมาตลอดสามปีว่าไม่ว่าหัวใจของเขาจะเย็นชาพียงใดเธอจะสามารถละลายมันได้ แต่ทว่าเธอคิดผิด ในสายตาเขามีเพียงหลินเซียงหยาเท่านั้น
ความอ่อนโยนของเขามีเพื่อหลินเซียงหยาเพียงผู้เดียว ราวกับว่าเขามอบหัวใจทั้งหมดให้กับหลินเซียงหยา
"ปล่อยฉัน" รอยยิ้มเย็นชาปรากฏบนใบหน้าของเสิ่นชู เสียงของเธอราบเรียบ “ฉันเดินเองได้”
ป๋อมู่เหนียนมองเธอด้วยแววตาที่ฉายแววรังเกียจในดวงตาดำขลับของเขา เขาเม้มริมฝีปากและระงับความโกรธไว้ในใจ จากนั้นสาวเท้าเดินต่อไปยังห้องโถงบรรพชน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หย่ากันเถอะ ฉันต้องไปสืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
อัพเดตทุกวันได้ไหมเอ่ย...