“ผมคิดว่ามันชื่อคราม แล้วก็ยังมีไอ้ฌานอยู่ข้าง ๆ ด้วย”
“ว่าไงนะ นังนั่นกล้าดียังไงถึงมานอกใจลูกชายฉัน!” ใบหน้าของจารุณีเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ เธอก่นด่าโศภิตาอย่างแรง “ไร้ยางอายจริง ๆ! ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน นังสารเลวนั่น!”
“โศภิตาบอกว่าเธอหย่ากับแทนไทยแล้ว!” พอเห็นสีหน้ามืดครึ้มและน่ากลัวของพี่ชาย ทินกรจึงถามอีกครั้ง “โศภิตาพูดจริงเหรอ”
แทนไทยเม้มริมฝีปากเงียบในขณะที่แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับโดยปริยาย
จารุณีเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างตอนที่เธอเห็นแทนไทยแสดงอาการแบบนั้น ตอนแรกเธอรู้สึกตกใจ แต่แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ “ดีแล้วที่ลูกหย่ากับหล่อน! อย่างน้อยหล่อนก็ได้ทำอะไรดี ๆ บ้างสักครั้ง! ในใจฉัน มีแค่ทักษอรที่เป็นลูกสะใภ้ของฉัน ในขณะที่โศภิตาไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับฉัน!”
แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ การก่นด่าโศภิตาของจารุณีนั้นออกจะฟังดูรุนแรงเป็นพิเศษในความรู้สึกของแทนไทย “พอเถอะครับ”
เขาหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาหลังจากพูดจบ และเดินออกจากบ้านไป
ทินกรจ้องไปที่แผ่นหลังของพี่ชายด้วยความสับสน “แม่ โศภิตาจะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ”
จารุณีแค่นเสียงอย่างเย็นชา “หล่อนไม่กล้าหรอก! ต่อให้หล่อนจะต้องการหย่า แต่หล่อนก็จะไม่ได้เงินแม้แต่แดงเดียวจากลูกชายฉัน!”
ทินกรไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงก้มหน้าลงและจมอยู่ในความคิดของตนเอง
ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่เขา เขาจึงมองขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว
ทินกรเห็นทักษอรยืนเงียบ ๆ อยู่หน้าราวบันได เขาไม่แน่ใจว่าเธออยู่ที่นั่นมานานแค่ไหนแล้ว
พอเห็นทินกรมองมาอย่างประหลาดใจ ทักษอรจึงยิ้มอย่างนุ่มนวล เสียงของเธออ่อนโยนมาก “สวัสดี ทินกร”
ทินกรได้ยินมาจากแม่ของเขาว่าทักษอรเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนักธุรกิจที่คอยช่วยเหลือด้านการงานของพี่ชายของเขาเป็นอย่างมาก ในขณะที่โศภิตาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่ และเธอรู้เพียงว่าจะใช้เงินของพี่ชายของเขาอย่างไร
สำหรับทุกคนแล้ว ความแตกต่างนั้นเห็นได้อย่างชัดจน
ทินกรยิ้มให้ทักษอรอย่างเป็นมิตร “สวัสดีครับ พี่ทักษอร”
……
วันรุ่งขึ้น โศภิตาตื่นแต่เช้าเพื่อแต่งตัวเป็นพิเศษสำหรับวันนี้
เธอหยิบชุดเดรสรัดรูปสีดำออกจากตู้เสื้อผ้าก่อนจะสวมมัน โศภิตาจำได้ว่าเธอเคยใส่มันครั้งหนึ่งตอนอยู่กับแทนไทย แต่เขาบอกว่ามันน่าเกลียด เธอจึงไม่เคยใส่มันอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หย่ากันเถอะคุณสามี