กามเทพน้อยสานรักของแด๊ดดี๊หม่ามี๊ นิยาย บท 364

“ณิชา กลับมาแล้วเหรอ?” สิดาได้ยินเสียงเปิดประตู จึงรีบวิ่งออกจากห้องครัวมา

สิดาใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่ ที่หน้าผากก็มีเหงื่อออกเล็กน้อย เหมือนกับว่าง่วนอยู่ในครัวมานานพอสมควร นั่นยิ่งทำให้ณิชาประหลาดใจมากกว่าเดิม เพราะสิดาไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบทำงานบ้านเลย

ณิชามองสิดาและเด็กสาวอีกคนไปมา

เด็กสาวคนนั้นยังคงกัดปากล่างไว้ และไม่ได้พูดอะไร

สิดาหัวเราะเป็นพิธี และดึงแขนของก้อยไว้ ก่อนที่จะพูดอธิบายอย่างคลุมเครือว่า “น้องชื่อก้อย สาธินี เป็นหลานสาวของฉันเอง พ่อของเธอไม่อยู่แล้ว และเธอก็ไม่มีญาติที่เมืองพรเลย ฉันจึงอยากพาเธอมาอยู่ด้วย ณิชา เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”

เพราะบ้านหลังนี้อยู่ภายใต้ชื่อของณิชา และเธอเองก็ต้องผ่อนบ้านทุกเดือน

แน่นอนว่าสิดาก็จำเป็นต้องแจ้งณิชาสักหน่อย

ณิชาไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่เกิดความรู้สึกสงสัยนิดหน่อยว่า “หลานสาวเหรอคะ? ทำไมฉันไม่เคยเห็นคุณพูดถึงบ้างเลย?”

“เพราะว่าป้ากับพ่อของฉันไม่ถูกกัน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงกนั!” จู่ ๆ ก้อยก็เริ่มตาแดง และมองไปที่สิดาอย่างเย็นชา “ใช่ไหมคะ ป้า?”

คำว่าป้าจากก้อย เสียดแทงเข้าไปลึกกลางใจสิดา

เพราะก้อยไม่ใช่หลานของเธอ แต่เป็น……

แต่ว่าเธอไม่สามารถพูดความจริงได้

อันที่จริงสิดาแต่งงานมาครั้งหนึ่งก่อนที่จะมีอยู่กับสุขุม และคนนอกรู้เพียงว่าเธอเป็นคนไร้ญาติมิตร

ซึ่งความเป็นจริงเธอเพิ่งได้คลอดลูกสาวคนหนึ่ง และมีสามีอยู่แล้วที่หมู่บ้านเก่า สิดาเข้ามาที่เมืองพรคนเดียวเพื่อหางานทำ จึงได้พบกับสุขุมในวัยหนุ่มโดยบังเอิญ

ประจวบกับที่สุขุมเพิ่งสูญเสียแม่ของณิชาไป ทำให้เขาโศกเศร้าอยู่ตลอด

สิดาได้ช่วยสุขุมไว้ด้วยความบังเอิญ สุขุมดื่มหนักจนเมามาก เขากอดสิดาและเรียกเธอว่า “วี ” แล้วยังขืนใจเธออีกด้วย

หลังจากนั้น สิดามักใหญ่ใฝ่สูงจึงทอดทิ้งลูกสาวและสามีที่ยังไม่ได้จดทะเบียน เพื่อมาแต่งงานกับสุขุม และกลายเป็นคุณนายตระกูลสถานนท์

สุขุมไม่รังเกียจสิดาเลย เขามีเพียงความต้องการเดียวนั่นก็คือให้สิดาดูแลณิชาให้ดี

ใครจะไปคิดว่าก้อยจะโผล่มาเอง และยังบอกอีกว่าพ่อเธอรอสิดามา 20 กว่าปีแล้ว แต่เพิ่งจากไปเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง

สิดาก้มหน้ามองต่ำด้วยความละอายใจ

“น้องก้อย ในเมื่อมาแล้ว ก็คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของเธอ อยากอยู่นานแค่ไหนก็อยู่ไปเรื่อย ๆ ได้เลยนะ” ณิชาสังเกตเห็นว่าระหว่างสิดากับก้อยดูจะไม่ลงรอยกันอยู่

ก้อยพูดเสียงสูงขึ้นมา ราวกับว่าเพิ่งถูกจับได้ว่าทำอะไรผิด “ฉันไม่ใช่น้องสาวของคุณ! แม่กับญาติทั้งหมดของฉันได้ตายไปหมดแล้ว!”

สายตาเย็นชาของเวธัสหรี่ลงเล็กน้อย และจ้องไปที่ก้อย “ถ้าเธอไม่อยากอยู่ที่นี่ งั้นก็ไปซะ”

ก้อยสัมผัสความเย็นชาของเวธัสได้ทันที เธอจึงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกพร้อมกับกัดปากไว้ และที่ริมฝีปากก็แดงขึ้นมาเป็นดวง

“เวธัส ฉันขอร้อง อย่าไล่หนูก้อยไปเลยนะ” สิดาเองก็เริ่มตาแดงเหมือนกัน และยืนบังก้อยไว้ที่ด้านหลัง “เธอเป็นเด็กที่มาจากบ้านนอก ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ฉันขอโทษพวกเธอแทนก้อยด้วยนะ”

เวธัสไว้หน้าสิดา แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม “ณิชาตั้งใจกลับมาเยี่ยมคุณ ไม่ได้มาเพื่อเป็นที่ระบาย”

“ขอโทษ……” สิดาพูดขอโทษเสร็จก็ไปปลอบใจก้อยต่อ

ก้อยวิ่งเข้าห้องสิดาไปอย่างหงุดหงิด และปิดประตูเสียงดังปัง

สิดารู้สึกเหมือนมีมีดมากรีดลงกลางใจ และรู้สึกสิ้นหวังกับเรื่องที่เกิดตอนนี้มาก

ณิชาเห็นเวธัสยืนทำหน้าเคร่งอยู่ข้าง ๆ จึงแอบดึงชายเสื้อของเขาเบา ๆ และคิดในใจว่า อาจเป็นเพราะก้อยเพิ่งเสียพ่อไป ทำให้เธออารมณ์ไม่ดี

เมื่อ 4 ปีก่อน พ่อของณิชาก็จากไปเหมือนกัน เธอเข้าใจดีว่าความรู้สึกสิ้นหวังเมื่อต้องสูญเสียคนที่รักเป็นอย่างไร

“ยังไงก็ตาม เธอไม่ใช่ถังขยะที่ไว้รองรับอารมณ์ของใคร” เวธัสพูด

ก้อยต้องเสียทั้งพ่อและแม่ของตัวเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับณิชา?

ณิชาทำตาปริบ ๆ มองเวธัส และทำหน้าเหมือนบอกเขาว่าไม่เป็นไร จากนั้นก็เอาของฝากถุงเล็กถุงใหญ่ให้กับสิดา

สิดาเองก็กลับมาทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ เธอมองเข้าไปในห้องนอนของตัวเองอยู่ตลอด

ราวกับว่ากำลังเป็นห่วงก้อยมาก…..

ในห้องนอน ก้อยนั่งพิงประตูและร้องไห้ไม่หยุด

จากนั้น เธอก็นึกถึงคำพูดกำชับจากน้ำตาล จึงหยุดร้องทันที

น้ำตาลบอกว่า ขอแค่ก้อยเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง ก็จะแก้แค้นให้พ่อได้ ถ้าไม่ใช่เพราะสุขุมกับณิชาที่รั้งตัวแม่ของก้อยไว้ ก้อยกับพ่อก็คงไม่ต้องมีชีวิตที่ลำบากขนาดนั้น

พ่อของก้อยก็จะไม่ต้องมานั่งเศร้าเพราะคิดถึงภรรยา และทำงานหนักทุกวันเพื่อหาเงินเลี้ยงดูลูกสาว จนสุดท้ายต้องมาจากไปด้วยโรคมะเร็ง

จะไม่ยอมอยู่ร่วมโลกเดียวกับศัตรูที่มาแย่งเมียและแม่ไป

ก้อยอยู่ในห้องตลอดจนสิดามาเรียกให้ไปกินข้าว เธอจึงยอมออกมาจากห้อง ตาของเธอยังแดงและบวมอยู่ แต่ไม่ได้ร้องไห้แล้ว

ณิชาคิดในใจว่าก้อยเพื่อสูญเสียพ่อไป จึงเดินไปปลอบใจเธอ ณิชายื่นยาลดอาการบวมให้และพูดว่า “ยาลดอาการบวมยี่ห้อนี้ใช้ดีมากเลยนะ”

ก้อยกดแรงแค้นเอาไว้ในใจพร้อมกับรับหลอดยาไว้

“ขอบคุณ”

“ฉันเองก็เสียพ่อไปเหมือนกัน เข้าใจความรู้สึกของเธอดี ต่อจากนี้ไป ฉันกับป้าสิดาจะเป็นครอบครัวของเธอ ถ้าเจอปัญหาหรือลำบากอะไรก็บอกพวกเราได้” ณิชาตบไหล่เธอเบา ๆ

ก้อยรู้สึกเหมือนถูกไฟไหม้ตรงที่ณิชาตบเมื่อกี้ สุขุมแย่งเมียคนอื่น ตายไปก็สมควรแล้วนี่!

ก้อยกำหลอดยาในมือแน่น และพูดถามณิชาอย่างกลัว ๆ ว่า “ฉันเพิ่งมาเมืองพร ไม่มีญาติและไม่มีงานทำด้วย พี่ช่วยหางานให้ฉันทำหน่อยได้ไหม?”

สิดาเกลียดตัวเองที่ชดเชยให้ก้อยไม่ได้ พอได้ยินก้อยพูดแบบนี้ สิดาก็รีบไปขอร้องเวธัสทันที

“เวธัส คุณเป็นประธานสนธิไชยกรุ๊ปนี่นา พอจะช่วยก้อยได้บ้างไหม?”

สิดารู้ว่าณิชาเป็นหัวหน้าฝ่ายออกแบบของวีเอสเอ กรุ๊ป แต่เพื่อเทียบกับสนธิไชยกรุ๊ป สนธิไชยกรุ๊ปก็ดูจะมีอนาคตมากกว่า

ก้อยได้ยิน ก็รีบทำหน้าตาน่าสงสารแล้วมองไปที่เวธัส

“พี่เขย ฉันไม่กลัวความลำบาก ขอแค่ยอมให้ฉันเข้าไปทำงานในบริษัทสนธิไชยกรุ๊ป จะตำแหน่งอะไรก็ได้ทั้งนั้น! ขอร้องล่ะ รับฉันเถอะ ฉันไม่เหลืออะไรแล้วจริง ๆ ……”

เวธัสขมวดคิ้วแน่น สำหรับเขาแล้ว ก้อยเป็นแค่คนอื่นที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับณิชาเลย

แต่เขากับณิชาเพิ่งแต่งงานกัน จึงไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ เขาก็เลยรับปากไป

“วันจันทร์หน้ามารายงานตัวที่สนธิไชยกรุ๊ปก็แล้วกัน”

ก้อยเลิกร้องไห้แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มออกมา พยักหน้าพร้อมโค้งคำนับเวธัสอย่างซาบซึ้งใจ

เวธัสนั่งอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก ซึ่งด้านบนของหัวเวธัสคือโคมไฟแขวนอันหนึ่ง ซึ่งแสงจ้าจากโคมไฟนั้นตกกระทบลงบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา เวธัสมีหน้าตาที่หล่อเหลาจริง ๆ และดูดีกว่าผู้ชายทุกคนที่เธอเคยพบเจอ

……

ภายในรถยนต์เพิ่มความยาวพิเศษที่หรูหราและสะดวกสบาย มีเด็กน้อยสองคนนั่งหลับปุ๋ยที่ข้างซ้ายและขวาของณิชา

เมื่อเย็นนี้เวธัสดื่มเหล้าไปเล็กน้อย จึงเรียกให้คนขับรถมารับพวกเขากลับบ้าน

“คุณให้ก้อยไปทำงานที่กรุ๊ป มันจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” ณิชาถามเวธัส

เพราะเธอรู้ดีว่าสนธิไชยกรุ๊ปมีระบบการรับพนักงานเข้าทำงานที่เข้มงวดมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระดับห้องหนังสือ

ก้อยคงจะจบเพียงปวส. ถ้าเธอได้เข้าไปทำงานที่กรุ๊ปจริง ๆ ก็อาจมีคนมากมายที่ไม่พอใจ

“ถ้าเธอรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ฉันก็จะถือว่าบริษัทรับคนว่างมาเลี้ยงเพิ่มอีกคน”

“สามี ลำบากคุณจริง ๆ ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าจู่ ๆ จะมีน้องสาว” ณิชายื่นมือไปจับมือเขาไว้ และนวดเบา ๆ

เวธัสขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คุณรู้สึกไหมว่าท่าทีของแม่เธอที่มีต่อก้อยประหลาดมาก?”

“อาจเป็นเพราะแม่ฉันรู้สึกละอายต่อก้อยล่ะมั้ง” ณิชาไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่ถอนหายใจและพูดว่า “เห็นก้อยตัวผอมและผิวหมอง คงจะลำบากมาไม่น้อย”

เวธัสสงสัยว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ แต่เขาเองกลับไม่ได้พูดสิ่งที่เดาออกมา

เพราะอย่างไรแล้ว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

เขาเลิกคิ้วขึ้น และมองณิชาอย่างมีเลศนัย “วันนี้ฉันช่วยน้องสาวเธอเอาไว้มาก เธอคิดจะตอบแทนฉันยังไง?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กามเทพน้อยสานรักของแด๊ดดี๊หม่ามี๊