ก้อยพยักหน้าอย่างขอโทษขอโพย พลันแสดงออกอย่างขวยเขินและลำบากใจพลางแอบมองมาทางเวธัส “ฉันกลัวว่าพี่จะเข้าใจพี่เขยผิดไป ดังนั้นจึงไม่กล้าจะพูดออกมาตรงๆ”
“งั้นตอนนี้แกมาถามซ้ำมันหมายความว่ายังไง?”
ก้อยสะอึกเล็กน้อย
“ธัสคะ คุณเห็นลิปสติกของก้อยหรือเปล่าคะ?” ณิชาถามเวธัส
เวธัสพูดกับก้อยทันที โดยไร้การคิดผ่านสมองด้วยซ้ำ “คุณลองไปถามพนักงานทำความสะอาดดู ไม่แน่อาจจะหาเจอในถังขยะนั่นแหละ”
ก้อยกัดริมฝีปากล่าง น้ำตาคลอเบ้า พร้อมทั้งน้อยอกน้อยใจและกระอักกระอ่วนอย่างเต็มเปี่ยม เธอเป็นคนเอาลิปสติกไปไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทของเวธัสเองกับมือ แล้วจะไปอยู่ในถังขยะได้ยังไงกัน?
“ไม่เป็นไรนะ ก้อยแกอย่าเพิ่งร้องไห้ไป แค่ลิปสติกแท่งเดียวเอง หายก็ไปหายไปสิ เอาไว้วันหน้าพี่จะซื้อให้แกใหม่อีกหนึ่งแท่งเอง” ณิชาปลอบใจก้อย จริงใจที่สุด
ก้อยรู้สึกเหมือนถูกเสียดสีมากขึ้นกว่าเดิม น้ำตาหยดไหลหยดจากเบ้าตา
เวธัสก็เหมือนมองไม่เห็นน้ำตาของเธอ พลันหาข้ออ้างว่าไม่ได้ไปทางนั้น และพาตัวณิชาเดินไปทันที โดยที่ไม่ไว้หน้าเธอสักนิด
ณิชาฉุกคิดความรู้สึกผิดที่มีต่อสิดาและก้อย จึงให้เงินก้อย500บาท เพื่อให้เธอเรียกรถกลับเอง
ไม่ว่าจะพูดว่ายังไง จากนี้ไปก็ยังหวังให้เธออย่าเดินออกนอกลู่นอกทาง
ก้อยยืนอยู่หัวถนนอยู่คนเดียว คอยชะเง้อมองคนเดินไปมากันอย่างขวักไขว่ พลันนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นและร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมา ปีที่แล้วเธอเพิ่งเรียนจบบวส. พูดแล้วประสบการณ์ยังน้อยยังอ่อนต่อโลกมาก...
พลันคิดถึงการแสดงออกเมื่อครู่ของเวธัสแล้ว คือความพ่ายแพ้ที่สุดแล้ว
ขณะนั้นเอง น้ำตาลโทรศัพท์มาหา
ก้อยสะอึกสะอื้นเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ “ฮัลโหล? คุณน้ำตาล...”
15 นาทีหลังจากนั้น
น้ำตาลมารับก้อยแล้ว
ก้อยนั่งอยู่ในรถแวนของน้ำตาล ร้องไห้ฟูมฟายจนปลายจมูกแดงระเรื่อ น้ำตาลเก็บอาการ และเทน้ำอุ่นให้เธอหนึ่งแก้ว “เป็นไงบ้าง ฉันให้แกไปสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างเวธัสกับณิชา พวกเขามั่นคงต่อกันมั้ย แล้วทางตระกูลสนธิไชยมีท่าทีว่ายังไงบ้าง?”
ก้อยพยักหน้าสุดแรง ส่ายหน้าไปด้วย
น้ำตาลร้อนใจขึ้นมา “ตกลงว่ายังมั่นคงอยู่หรือเปล่า?”
“มั่นคงค่ะ” น้ำตาลสูดจมูกเข้า และเอาเรื่องที่ตนเองทดสอบกับเวธัสบอกน้ำตาล แต่เธอไม่กล้าพูดว่าตนเองไปนอนบนโซฟาของเวธัสเพื่อให้ท่าเขา
อย่างไรก็ตาม เธอรู้ดีว่าน้ำตาลชอบเวธัสมาโดยตลอด
น้ำตาลฟังเพียงครึ่งเดียวก็ย่นคิ้วขมวดเข้าหากันจนแน่น รอก้อยพูดจบแล้ว บรรยากาศภายในรถแวนก็ยิ่งลดระดับลงจนน่ากลัว
ก้อยชะเง้อมองน้ำตาลอย่างระแวดระวัง “คุณน้ำตาล...”
“อีโง่!” น้ำตาลโชกโชนต่อโลกภายนอกกว่าก้อย เล็บยาวเรียวราวกับต้นหอมเกือบจะทิ่มมาที่ศีรษะของก้อย “ณิชาต้องเจอลิปสติกแท่งนั้นตั้งนานแล้ว นางกับคุณเวธัสรวมหัวกันแกล้งแก!”
ก้อยหน้าซีดเผือด “ปะ...เป็นไปไม่ได้?”
“ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ไม่มีคำสั่งของฉัน แกห้ามทำอะไรทั้งสิ้น นางต้องเริ่มสงสัยในตัวแกแล้วแน่!”
น้ำตาลยังคิดว่าตนเองได้หมากดีมาตัวหนึ่ง
แต่ผลที่ได้คือไม่มีสมองเลย...
พลันฉุกคิดถึงพี่สาวของเธอตอนนั้นก็เป็นแบบนี้แหละ ทั้งที่ไม่มีอุบายจนยากแก่การเดาใจ ถึงถูกคนทำร้ายจนเสียชีวิต ก็หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
แม้ว่าเธอกับมะนาวจะเติบโตมาพร้อมกัน แต่น้ำตาลก็รู้สึกว่ามะนาวเป็นลูกสมุนคอยติดสอยห้อยตามตนเองมาตลอด ดังนั้นตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปสำนวนว่ามะนาวกระโดดตึกตาย เธอแทบไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้มาเห็นก้อย เธออดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงไปยังพี่สาวอีกครั้ง
ก้อยหวาดกลัวหลังจากนั้นมาสักระยะ พลันพยักหน้าอย่างหนักแน่น และหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างหวาดหวั่นจนตัวสั่นเทา เธอแอบถ่ายรูปณิชากับเวธัสและส่งให้กับน้ำตาล
เธอไม่มองตัวคน น้ำตาลต้องมองจากในรูปภาพได้อย่างชัดเจนอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามตอนที่น้ำตาลมองเห็นรูปภาพของเวธัสกับณิชาที่ก้อยส่งมาให้ พลันรู้สึกโมโหจนเลือดพลุ่งพล่านหนักกว่าเก่า เธอไปแอบถ่ายรูปอะไรมาเหรอเนี่ย?
เวธัสคอยคีบอาหารให้ณิชาอย่างเอาอกเอาใจ...
ณิชาดูแลลูกสองคน เวธัสคอยเฝ้าดูแลอยู่ข้างกายอย่างอ่อนโยน...
นอกจากการอยู่เป็นส่วนเกินแล้ว น้ำตาลมองไม่เห็นอย่างอื่นเลย ไร้สาระสิ้นดี!
เดิมทีเธอยังคิดมีปากมีเสียงกันแบบนั้น เพื่ออยากจะหาวิธียุแยงตะแคงรั่วให้ท่านประเสริฐจนเกิดเรื่องขึ้น แต่ตอนนี้...
ก้อยชำเลืองมองสีหน้าของน้ำตาลก็รู้ว่าตนเองไม่ได้ทำเรื่องให้ดี พลันก้มหน้าอย่างน้อยอกน้อยใจ
เธออยากจะเป็นคนออกโรงแทนความโกรธเคืองของบิดา เพื่อล้างแค้นคนในครอบครัวตระกูลสถานนท์ แต่เธอทำไม่ได้จริงๆ
“เดี๋ยวนะ...” ตอนที่เธอใกล้จะร้องไห้อีกครั้ง จู่ ๆ น้ำตาลก็คว้าข้อมือของก้อยด้วยความตื่นเต้นทันที “รูปนี้ไปเอามาจากไหน?”
ก้อยตอบกลับโดยไม่รู้เหตุผล “ฉันแอบถ่ายรูปมาเองค่ะ”
น้ำตาลรวบรวมคำพูด พลันขยายรูปในโทรศัพท์ให้ขยายกว้างขึ้น เพื่อเลื่อนมายังมุมใดมุมหนึ่ง “ฉันถามแกว่า ไอ้ของสิ่งนี้ที่อยู่ในรูปภาพไปเอามาจากที่ไหน?”
ก้อยมองตามนิ้วของน้ำตาลที่ชี้จนมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ภาพด้านหลังคือห้องนอนของสิดา
ณิชากำลังเก็บกวาดขยะให้สิดาในเวลานั้น เวธัสยืนมองเธออยู่หน้าประตู เธอจึงแอบถ่ายรูปมาหนึ่งใบ
โทรศัพท์เครื่องนี้น้ำตาลเป็นคนซื้อใหม่ให้เธอมา จนสามารถถ่ายรูปได้ละเอียดชัดมาก
ซึ่งถ่ายรูปติดภาพแขวนที่แขวนติดผนังภายในห้องนอนของสิดา
ภาพแขวนนั่นน่าจะเป็นตอนที่ณิชาอายุ 2-3 ขวบได้ สิดากับสุขุมอุ้มณิชาขึ้นมาถ่ายรูปครอบครัวร่วมกัน ณิชาหน้าตาสวยหมดจด มืออวบอ้วนนุ่มนิ่มคว้ากำไลข้อมือทองคำไว้หนึ่งวง และยิ้มไม่หุบปาก
รูปแบบของกำไลนั่นแปลกตามาก ช่างเหมือนการสลักลายหงส์โบยบินกระพือปีกเอาไว้ด้วย..
“เอ่อ...กำไลอันนี้ สำคัญมากมั้ยคะ?” ก้อยไม่ได้ตะขิดตะขวงใจเรื่องยิบย่อยประเภทนี้ พลันบ่นพึมพำ
“แกรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ฉันไม่สนใจว่าแกจะใช้วิธีไหน ไปตรวจสอบให้ได้ว่าตอนนี้กำไลวงนี้อยู่ที่ไหน จากนั้นแกก็เอามาให้ฉัน! ถ้าฉันได้อันนั้นมา ฉันจะให้เงินแก 5 ล้านบาท!”
น้ำเสียงของน้ำตาลไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นและกระตือรือร้นเอาไว้ได้เลย
เมื่อก้อยได้ยินเงิน 5 ล้านบาท อารมณ์น้อยอกน้อยใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่พลันถูกกวาดจนหายวับไปกลับตา พลันเรียกรถกลับบ้านอย่างไม่รีรอทันที
น้ำตาลจ้องมองเงาแผ่นหลังของก้อยหายวับไปกลับตา หัวใจเต้นผิดจังหวะ ราวกับจะเต้นจนหลุดออกมาจากร่างกาย
ลูกหลานสายเลือดของตระกูลหลักรุ่งโรจน์มีกำไลข้อมือเป็นสมบัติตกทอด โดยมีกำไลข้อมือทองคำลายมังกรเหินฟ้าเป็นสมบัติตกทอดให้แก่หลานชายผู้สืบทอด ส่วนหลานสาวผู้สืบทอดจะเป็นลายหงส์กระพือปีก
ตัวอย่างเช่นชาลีก็มีกำไลข้อมือทองลายมังกรเหินฟ้าเอาไว้หนึ่งวง
ตามข่าวเล่าลือ ตระกูลรุ่งโรจน์ยังทิ้งทรัพย์สมบัติพัสถานกองโตอยู่ในธนาคารซูริก Cantonal Bank ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
ต้องการเอาทรัพย์สมบัติออกมา กำไลถือว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ
แต่อย่างไรก็ตามทรัพย์สินก้อนนี้สามารถเอามาใช้ในกรณีฉุกเฉิน ด้วยสถานการณ์ปกติไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้ ดังนั้นจำต้องให้คนในครอบครัวสองคนและคนละเพศ นำกำไลมังกรและหงส์นำมาแสดงจึงสามารถไปเปิดตู้เซฟได้
เมื่อมาถึงรุ่นของกานต์รวีนั้น ในตระกูลมีลูกสาวคือเธอแค่คนเดียว กำไลหงส์ย่อมตกเป็นของเธอ
หลังจากนั้นเธอกับคุณย่าศิริจันทร์แตกหักกัน กำไลหงส์ก็ไร้ร่องรอยทันที
นี่เป็นทายาทสายเลือดโดยตรงของตระกูลรุ่งโรจน์และเป็นคนที่มีฐานะสูงส่งถึงทราบความลับนี้ดี เธออยู่ข้างกายนายท่านมาหลายปี ฟังบ่อยเข้าจึงรู้เรื่องนี้ บวกกับตนเองนำความคาดเดามาปะติดปะต่อจนได้ความลับนี้ออกมา
เธอโชคดีตรงที่เคยเห็นแบบของกำไลมังกรหงส์คู่มาก่อน ซึ่งเหมือนกับกำไลที่ณิชาในวัยเด็กกำลังถืออยู่ในรูปครอบครัวใบนั้นทุกกระเบียดนิ้ว
ไม่สิ ไม่ถูกต้อง
ถ้าเป็นกำไลมังกรหงส์นั้นจริง ทำไมไปอยู่ในมือณิชาได้ยังไงกัน?
ณิชากับกานต์รวีหน้าตาคล้ายกันมาก...
หรือว่าแม่ของณิชาก็คือกานต์รวีงั้นเหรอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กามเทพน้อยสานรักของแด๊ดดี๊หม่ามี๊